วันอังคารที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ท่านอนที่ดีที่สุด


การนอนหลับคือการพักผ่อนที่ดีที่สุดสำหรับคนเรา แต่ถ้านอนไม่ดีก็อาจจะทำให้เราไม่ได้พักผ่อนก็ได้ แล้วท่านอนที่ดีสำหรับตัวเราคือท่าไหนกัน ลองไปดูกันเลย
นอนหงาย ใช่แล้วค่ะ ท่านอนท่าดีคือท่าที่ดีที่สุด เพราะท่านี้จะช่วยทำให้ร่างกายและระบบภายในไม่มีแรงกดทับ เลือดลมก็ไหลเวียนได้สะดวก ทำให้หายใจคล่องและหลับลึกได้เต็มที่ แต่ท่านอนท่านี้จะไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน เนื่องจากมันไปเพิ่มแรงดันในช่องท้อง ทำให้อาการอาจจะรุนแรงขึ้นก็ได้
นอนตะแคง ถ้าคุณชอบนอนตะแคง ขอแนะนำให้นอนตะแคงด้านซ้าย เพราะจะทำให้สร้างแรงกดทับที่หัวใจและกระดูกสันหลังน้อยกว่า ท่านี้จะเหมาะมากสำหรับคนที่นอนไม่ค่อยหลับหรือหลับยาก เพราะท่าตะแคงซ้ายจะช่วยทำให้คุณหลับได้เร็วขึ้น และยังไม่กรนอีกด้วย
นอนคว่ำ ใครที่ชอบการนอนหลับแบบไม่ให้ใครต้องการจะเห็นหน้าก็ควรเลือกท่านี้เลย แต่การนอนท่านี้จะมีผลร้ายมากกว่าผลดี เพราะการนอนท่านี้จะทำให้อวัยวะภายในทั้งหมดถูกกดทับ เลือดลมเดินไม่สะดวก ดีไม่ดีอาจจะขาดอากาศหายใจก็ได้ และยังเป็นบ่อเกิดแห่งริ้วรอยได้อีกด้วย

เป็นยังไงกันบ้างคะ เพื่อน ๆ ชอบนอนท่าไหน ไงก็ลองปรับดูนะคะจะได้นอนหลับสบายกัน

วันจันทร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ผักผลไม้ 7 ชนิด ที่ผู้หญิงควรรับประทาน

ถึงแม้จะมีสาวๆ หลายคนไม่ค่อยจะพิศมัยในการกินผักผลไม้เท่าไหร่นัก แต่ก็เห็นพยายามหาวิธีที่จะทานเข้าไป ด้วยความหวังที่อยากให้ผักผลไม้เหล่านั้นสร้างประโยชน์ให้กับร่างกาย ผักและผลไม้แต่ละชนิดนั้นก็มีวิตามินและแร่ธาตุที่พิเศษแตกต่างกันออกไป ด้วยเหตุนี้ก็เลยมีเรื่องราวของผักผลไม้ 7 ชนิด ที่มีผลโดยตรง ต่อสุขภาพของ "ผู้หญิง" มาฝาก
1. ลูกพรุน ต้องบอกเลยว่าเป็นแหล่งโปแทตสเซียม เหล็ก และไฟเบอร์ชั้นดี ที่สำคัญลูกพรุนยังช่วยให้สาวๆ มีเลือดฝาดดูเป็นสาวสดใส ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ที่มีอายุ 25 ขึ้นไปร่างกายจะเริ่มเสื่อมโทรม ไขมันจะเริ่มสะสมตามที่ต่างๆ ผิวหน้าก็อาจจะหมองคล้ำลง ธาตุเหล็กที่มีในลูกพรุนจะช่วยดูแลเรื่องนี้ควบคู่กับภาวะที่สตรีต้องสูญเสียเลือดและธาตุเหล็กไปกับประจำเดือนอีกด้วย
2. ถั่ว เพียบพร้อมไปด้วยโปรตีน เหล็กและวิตามินปีด้วยนะคะ มีนักวิทยาศาสตร์เค้าค้นพบว่าเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์ชนดที่ละลายน้ำ (ซึ่งมีมากในถั่วค่ะ) ไฟเบอร์จะเคลือบกระเพาะ ทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและนาน ความอยากอาหารจะลดลง แถมนอกจากไฟเบอร์แล้วในถั่วยังมีสารอาหารชนิดอื่นๆ อีกด้วย นี่ล่ะค่ะจึงทำให้ผู้หญิงอย่างเราหุ่นดีโดยไม่ขาดสารอาหาร
3. บรอคโคลี มีซีลีเนียมมากซึ่งจะช่วยบำรุงผิวพรรณและช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณอ่อนนุ่มมีน้ำมีนวลแถมยังช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นได้
4. กล้วย โดยเฉพาะในกล้วยไข่จะมีสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งสามารถต้านอนุมูลอิสระ เมื่อสาวๆ อายุ 22 ปีไปแล้ว ร่างกายจะเริ่มหยุดการเติบโต ความเสื่อมของร่างกายก็จะเริ่มมาเยือนค่ะ และนั่นก็จะทำให้เซลล์ในร่างกายทุกเซลล์ผลิตอนุมูลอิสระมากขึ้น ที่แน่นอนที่สุดความสามารถในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอก็จะลดลงเรื่อยๆ ความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระก็ลดลง นี่ล่ะค่ะ สาวๆ จึงต้องรับประทานกล้วยให้เยอะๆ
5. ฝรั่ง รู้รึเปล่าคะว่า ฝรั่ง 100 กรัม มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม ซึ่งวิตามินซีนี้มีบทบาทในการสร้าง "คอลลาเจน" ที่ทำให้ผิวพรรณเต่งตึงยืดหยุ่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัย
6. แอปเปิ้ล มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ที่ชื่อ "เพคติน" ซึ่งจะช่วยลดความอยากอาหาร ลดน้ำหนักและลดคอเลสเตอรอล ถ้าสาวๆ หิวเมื่อไหร่ล่ะก็ให้นึกถึงแอปเปิ้ลไว้ก่อนเลย
7. ส้ม เป็นแหล่งวิตามินเกลือแร่ และเส้นใยธรรมชาติ น้องๆ รู้มั้ยคะว่าการรับประทานส้มโดยไม่คายกากจะช่วยคุมน้ำหนักได้อีกทางนึงนะคะ เพราะจะทำให้เราอิ่มท้องเร็ว สาวๆ ที่อยากลดน้ำหนักต้องส้มเลย

วันอาทิตย์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ผิวสดใสด้วยน้ำทะเล


ชายทะเล ถือเป็นหนึ่งในสถานที่ที่หลาย ๆ คนชอบไปท่องเที่ยวกัน โดยเฉพาะสาว ๆ ที่นี่หลายคนน่าจะยกให้ ชายทะเล เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับหนึ่งเลยทีเดียว
แต่สาว ๆ ทราบหรือไม่ว่าการอาบน้ำทะเลนั้นสามารถทำให้ผิวสดใสเปล่งประกายได้ด้วยเช่นกัน

เกลือ ทำให้ผิวคงความชุ่มชื้น ดังการใช้เกลือทะเล เพื่อความงาม จึงมีผลทำให้ ผิวอ่อนนุ่นสดใสและเปล่งปลั่ง และยังช่วยขจัดเซลล์ผิวให้หลุดลอกออกไป.. ..

สาหร่ายทะเล ทำให้โลหิตไหลเวียนไปทั่วร่างกาย ทำให้มีชีวิตชีวาและเกิดพลังงานใหม่.. .. โคลนทะเล ทำให้ผิวกระตุ้นให้ระบบน้ำเหลืองและการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น และทำให้เนื้อ เยื้อแต่งตึง
คราวนี้สาว ๆ ก็ไม่ต้องกลัวแล้วนะจ๊ะว่าเมื่อลงเล่นน้ำทะเลแล้วจะทำให้ผิวเสีย เพราะน้ำทะเลก็มีประโยชน์เหมือนกัน แต่ต้องระวังอย่าเล่นน้ำทะเลในช่วงที่แดดจัด ๆ นะจ๊ะ เพราะไม่อย่างนั้น น้ำทะเลก็อาจจะสู้แสงยูวีไม่ได้นะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2551

5 เรื่องธรรมดาที่แอบร้าย

การใช้แปรงสีฟันร่วมกัน
สิ่งที่คุณคิด : ใช้แปรงสีฟันด้ามเดียวกับแฟน ดูโรแมนติกดีจัง
สิ่งที่ถูกต้อง : แบคทีเรียในช่องปากนั้นสะสมอยู่มากมายในแปรงสีฟัน หากใช้ร่วมกัน อาจทำให้ อาจทำให้ติดโรคภายในช่องปาก หรือโรคติดเชื้อจากแผลในช่องปากด้วย หากวันใดเพื่อนหรือแฟนไม่มีแปรงสีฟันจริงๆ ให้เขาใช้น้ำยาบ้วนปากแทน เพราะน้ำยาบ้วนปากจะช่วยยับยั้งการก่อตัวของเชื้อแบคทีเรีย และทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วย
ใช้เครื่องเป่ามือในห้องน้ำสาธารณะ
สิ่งที่คุณคิด : หลังเข้าห้องน้ำแล้วควรล้างมือทุกครั้ง แล้วตบท้ายด้วยการเป่ามือให้แห้ง เพื่อฆ่าเชื้อโรคให้หมดไป
สิ่งที่ถูกต้อง : ขอร้องเลยว่า อย่าทำให้มือแห้งด้วยเครื่องเป่ามือตามที่สาธารณะทั่วไป เพราะท่อส่งอากาศที่ถูกเป่าออกมานั้น เต็มไปด้วยจุลินทรีย์ที่กำลังแพร่ขยายพันธุ์อยู่ ผลที่ได้คือ มือของคุณจะปราศจากแบคทีเรีย แต่จะอุดมไปด้วยเชื้อโรคมากกว่าตอนก่อนล้างมือเสียอีก ดังนั้นควรซับมือด้วยกระดาษชำระ หรือผ้าเช็ดมือแบบใช้ครั้งเดียวเท่านั้น
การนั่งบนชักโครกสาธารณะ
สิ่งที่คุณคิด : ดูแล้วฝารองนั่งก็สะอาดดี นั่งไปเลยก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก
สิ่งที่ถูกต้อง : เวลาสาวๆ นั่งปัสสาวะหรือถ่ายทุกข์แบบหนัก ไม่ว่าจะน้ำปัสสาวะ หรือของเสียอื่นๆ ก็อาจจะมีบางส่วนที่กระเด็นมาสะสมกันอยู่ที่บริเวณโถรองนั่งของชักโครก จนเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคขนาดมหึมา ฉะนั้นก่อนเข้าห้องน้ำสาธารณะทุกครั้ง เช็ดให้สะอาดด้วยกระดาษชำระชุบน้ำ แล้วตามด้วยกระดาษชำระที่แห้งวางทับบนโถรองนั่ง ก่อนปลดทุกข์ทุกครั้ง รับรองว่าวิธีการนี้ได้ผลแน่นอน
การกลั้นจาม
สิ่งที่คุณคิด : ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยก็แค่กลั้นจามเท่านั้น ก็การจามดังๆ ดูไม่มีมารยาท แถมยังอาจถูกมองว่าทำตัวสกปรกอีกด้วย
สิ่งที่ถูกต้อง : คุณรู้ไหมว่าอัตราความเร็วในการจามแต่ละครั้งนั้นสูงถึง 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมงทีเดียว ดังนั้นการยื้อหรือกลั้นไม่ให้จามนั้นจะก่อให้เกิดแรงอัดอากาศภายใน อาจส่งผลทำให้เยื่อแก้วหูแตกหรือเป็นรูได้
กินยาแก้ปวดทุกครั้งที่ปวดศีรษะ
สิ่งที่คุณคิด : ก็ปวดหัวนี่นา ถ้าไม่กินยาแก้ปวด แล้วจะหายปวดหัวได้อย่างไร
สิ่งที่ถูกต้อง : การรับประทานยาแก้ปวดหัวบ่อยๆ และเป็นเวลานานจะมีผลทำให้ตัวยาสะสมและอาจกัดจนเป็นแผลในช่องท้อง หรือมีผลให้ตับทำงานหนักจนเกิดผลเสียกับตับได้ หนทางแก้ไขก็คือ เมื่อมีอาการปวดศีรษะ ให้พยายามดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว หรือถ้าปวดศีรษะเนื่องจากนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ก็ให้พักสายตาชั่วโมงละ 5 นาที ช่วงทานข้าวกลางวันก็ออกไปเดินเล่นเสียหน่อยเพื่อเป็นการพักผ่อนสายตาไปในตัว

ฮอทด็อกสีแดงสด ภัยร้ายทำลายประสาท


ฮอทด็อกเป็นอาหารที่ทำมาจากเนื้อสัตว์ทั้งส่วนที่ดีและวนที่เหลือจากร้านขายเนื้อทั่วไป จากนั้นนำมาใส่สารฆ่าเชื้อและสารสีแดงเข้าไป เพื่อให้เนื้อไม่เน่าและคงความสดเอาไว้
ฮอทด็อกที่มีสีสันสดๆจะมีความเสี่ยงสูง มีมาตรฐานทางด้านคุณภาพต่ำ มีการใช้สารเคมีช่วยในการกำจัดแบคทีเรีย มีการเติมสารที่ช่วยทำให้เนื้อแดงยืดตัวได้ดี และใช้สารช่วยเติมไส้กรอกให้เต็ม อาจเป็นพวกธัญญาหาร นมผงพร่องมันเนย ถั่วเหลือง ทำให้เพิ่มจำนวนคาร์โบไฮเดรต และยังใช้ไขมันที่เป็นสารประกอบที่ไม่เปิดเผยอยู่ประมาณ 40% ซึ่งในกระบวนการผลิตถุงหลอดที่ใช้บรรจุฮอทด็อกนั้น ทำมาจากคอลลาเจนสังเคราะห์ เมื่อนำไปปิ้งย่างจะให้สารพิษร้ายแรงที่เรียกว่า อะคริลีไมด์ ซึ่งเป็นสารร้ายแรงที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งและทำลายประสาท
ฮอทด็อกมีการใส่สารปรุงรส MSG สารนี้จะส่งผลให้ผู้บริโภคเข้าไปปวดศรีษะ และเกิดอาการแพ้ MSG ซึ่งในฮอทด็อกยังมีการใส่สารไนไตรด์ ซึ่งเป็นสารที่ส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร มะเร็งในเม็ดเลือด เนื้องอกในสมองและมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ
คราวหน้าถ้าจะกินต้องเลือกให้ดี ๆ หน่อยนะคะ จะได้ไม่เป็นอันตรายกับตัวเรา..

วันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2551

อย. เตือนภัย! คนกินช็อคโกแลต ระวังของปลอม

เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม ที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ อย. กล่าวว่า หลังจากได้รับการร้องเรียนว่า มีขนมปังเคลือบช็อกโกแลต รูปทรงไข่ ห่อกระดาษสีทอง ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งผลิตในต่างประเทศ มีปัญหาการปนเปื้อนและไม่ได้มาตรฐาน ได้สอบถามไปยังผู้ผลิตสินค้าและผู้นำเข้าในประเทศไทย พบว่า สินค้าของผู้ผลิต เป็นสินค้าคุณภาพและได้มาตรฐาน แต่มีสินค้าเลียนแบบออกมาวางจำหน่ายแข่ง ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกัน แต่ส่วนผสมต่ำกว่า ไม่ได้มาตรฐาน โดยพบว่าในไทยก็มีวางจำหน่ายเช่นกัน โดยเฉพาะตามแนวด่านการค้าชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงขอเตือนไปยังผู้บริโภค ก่อนซื้อสินค้าต้องตรวจสอบให้ชัดเจน และเลือกซื้อจากร้านค้ามาตรฐาน ไม่ซื้อสินค้าหนีภาษี หรือลักลอบนำเข้า เพราะแหล่งที่มาไม่ชัดเจน และบางร้านก็กักตุนสินค้า หรือจำหน่ายไม่หมด ทำให้เกิดการเน่าเสีย หรือขี้นรา ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค และก่อนรับประทานช็อกโกแลตทุกครั้ง ให้ตรวจดูวันหมดอายุ และสีสันของขนม แกะห่อดูภายในตัวสินค้า หากมีกลิ่น หรือมีราขาว อย่ารับประทาน

เลขาธิการ อย. กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาน้ำอัดลมยี่ห้อหนึ่ง ที่มีปัญหาในสหรัฐฯ ที่มีการโฆษณาเกินจริง เนื่องจากมีการตีพิมพ์ อวดสรรพคุณว่า มีการผสมวิตามีนในเครื่องดื่ม ซึ่ง อย.ของสหรัฐฯ กำลังถกเถียงกันในข้อกฏหมายและหาทางดำเนินคดี แต่ในประเทศไทยไม่มีการนำเข้าเครื่องดื่มดังกล่าว แต่เพื่อความไม่ประมาท ให้คณะอนุกรรมการควบคุมอาหาร ตรวจสอบติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการโฆษณาเกินความเป็นจริง มีการดำเนินคดีมาต่อเนื่อง

วันพุธที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วงจรการมีประจำเดือน



วงจรการมีประจำเดือนการมีประจำเดือนนั้นทำให้ผู้หญิงเรามีอาการ อย่างไรเกิดขึ้นกับผิวของเราบ้างแบ่งเป็น 5 ระยะดังนี้ ค่ะ
1.ระยะไข่ตก ผิวจะมัน หมองคล้ำ การอุดตันของไขมันจะเริ่มเกิดขึ้น
2.ระยะก่อนประจำเดือนมา สภาพผิวจะไม่คงที่ บางครั้งก็มันบางครั้งก็แห้งกร้านและอาจเกิดการ แพ้เป็นผื่นแดงได้ง่าย ระยะนี้สาวๆไม่ควรออก กำลังกายหักโหม
3.ระยะวันนั้นของเดือน ช่วงวันนั้นของเดือนผิว จะหมองคล้ำไม่สดใสอารมณ์ไม่ปกติแปรปรวน และตัวบวมน้ำ
4.ระยะประจำเดือนเพิ่งหมด ผิวเริ่มกลับเข้าสู่สภาพปกติปัญหาผิวต่างๆที่เกิดขึ้นเริ่มคลี่คลาย
5.ระยะหลังมีประจำเดือน ผิวช่วงนี้จะดี เรียบเนียน แข็งแรง เหมาะที่จะลองเครื่องสำอางใหม่ๆ

22 อาหารไทย ต้านมะเร็งได้ดีที่สุด

เดี๋ยวโรคร้ายที่กำลังมาแรงและกำลังมีมากในประเทศของเรา
คือ โรงมะเร็งนั้นเอง ที่คราชีวิตผู้คนไปอย่างมากมาย
แต่อาหารไทยเรานี้แหละที่จะสามารถต้านมะเร็งได้ โดยมีเมนูเด็ด 22 จานนี้ ถูกวิจัยจากสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล แล้วว่าสามารถป้องกันมะเร็งได้ และเรียงลำดับดังต่อไปนี้
1. คะน้าน้ำมันหอย
2. ไก่ทอดสมุนไพร
3. ทอดมันปลากราย
4. แกงเลียง
5. ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่และมะเขือเทศ
6. ผัดกระเพาะกุ้งใส่ถั่วฝักยาว
7. แกงเผ็ดเป็ดย่าง
8. แกงจืดตำลึง
9. ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์
10. ส้มตำไทย
11. ผัดผักรวมน้ำมันหหอย
12. ฉู่ฉี่ปลาทับทิม
13. น้ำพริกลงเรือ
14. ห่อหมกปลาช่อนใบยอ
15. แกงจืดวุ้นเส้น
16. แกงจืดเขียวหวาน
17. แกงส้มผักรวม
18. ต้มยำเห็ด
19. เต้าเจี้ยวหลน
20. น้ำพริกกุ้งสด
21. ต้มยำกุ้ง
22. ยำวุ้นเส้น
เห็นไหมละค่ะว่าอาหารไทยทั้งหากินง่าย ไม่ยาก สะอาดถูกหลักอนามัยและราคาไม่แพง แต่ว่ากินแล้วระวังน้ำหนักตัวด้วยนะค่ะ











ประโยชน์ของการหัวเราะ


หลาย ๆ คนเมื่อนึกถึงเรื่อง สุขภาพที่ดี มักจะคิดไปถึงเรื่องการออกกำลังกายไว้กาย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า บางครั้งกิจกรรมประจำวันของเราเองนี่แหล่ะ ก็มีส่วนช่วยให้สุขภาพดีขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่ออย่างเช่นการ "หัวเราะ" สาว ๆ หลาย ๆ คนหลีกเลี่ยงที่จะส่งเสียงหัวเราะอย่างเต็มที่ เพราะกลัวว่าใบหน้าจะมีริ้วรอยก่อนวัยอันควร แต่เชื่อหรือไม่ว่า บางครั้งแค่การหัวเราะธรรมดา ๆ นี่แหล่ะก็สามารถทำให้ร่างกายดีขึ้นได้
ความดันโลหิตลดลง...

ฮอร์โมนเกี่ยวกับความเครียดลดลง ขณะเดียวกันการทำงานของฮอร์โมนต่าง ๆ ก็เป็นปกติ...

กระตุ้นระบบภูมิชีวิต (Immune system) ทำให้ T-celll ซึ่งเป็นทหารประจำตัว คอยกำจัดเชื้อโรคเพิ่มจำนวนขึ้น รวมถึงแอนตี้บอดี้อื่น ๆ ในร่างกายด้วย... ....

คลายความเจ็บปวด อารมณ์ขันทำให้ผู้ป่วยลืมความเจ็บปวด และยังกระตุ้นการสร้างเอ็นดอร์ฟินในร่างกาย ซึ่งเป็นฮอร์โมนระงับปวดโดยธรรมชาติอยู่แล้ว... ....

กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลาย ขณะที่หัวเราะ กล้ามเนื้ออื่น ๆ ที่ไม่ได้สัมพันธ์กับการหัวเราะ จะผ่อนคลาย และเมื่อหยุดหัวเราะ กล้ามเนื้อที่สัมพันธ์กับการหัวเราะ ก็จะผ่อนคลาย เป็นการทำงานสองขั้นตอน... ...

หายใจดีขึ้น การหัวเราะบ่อย ๆ ทำให้ปอดโล่ง หายใจได้ลึกขึ้นดีมาก ๆ สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องการหายใจทราบเช่นนี้แล้ว อย่าลืมหันมาผ่อนคลายจิตใจ หัวเราะให้บ่อยขึ้น นะคะเพื่อสุขภาพที่ดีง่าย ๆ ที่แทบจะไม่ต้องเสียเงินซื้อเลยล่ะค่ะ

วันจันทร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ลดอาการผิวแห้งด้วยผลไม้สด


ทราบหรือไม่ว่า นอกจากผลไม้สดจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว ยังสามารถลดอาการผิวแห้งได้ด้วย
ผลไม้สดอร่อย ๆ มีให้เลือกกินมากมาย แต่อย่าปล่อยให้ความสดหวานผ่านลงท้องไปเพียงอย่างเดียว ผลไม้สดนั้นยังสามารถนำมาใช้พอกผิวเพิ่มความเนียนใส ไร้จุดแห้งกร้านได้ด้วย

วิธีที่แสนจะง่ายก็คือ คัดผลไม้สด ๆ อย่าง องุ่น กล้วย เอาแบบสุกพอดี ๆ อย่างอมเกินไป พร้อมด้วยโยเกิร์ตรสธรรมชาติ นมสด และ น้ำผึ้งอย่างละพอประมาณ มาปั่นรวมกันจนได้เป็นครีม พอกนวดให้ทั่วผิวกาย เน้นที่จุดแห้งกร้านอย่างข้อศอก หัวเข่า เท้า แล้วทิ้งไว้สักประมาณ 15 นาที ค่อยล้างออก เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื่น น่าสัมผัสมากทีเดียวเลยล่ะค่ะ

เทคนิคเพิ่มน้ำหนัก สำหรับคนผอม



สำนักงานตรวจสุขภาพแห่งชาติ กรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ได้ศึกษาในประชาชนชาวเมืองเบอร์เกน ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีมวลกายกับสุขภาพ พบว่าผู้หญิงที่มีน้ำหนักน้อยเกินไปมีความเสี่ยงสูงต่อการแท้งบุตร เพราะรังไข่ทำงานผิดปกติ และคนที่อดอาหารเพื่อควบคุมน้ำหนักมักได้รับสารอาหารจำเป็นไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายขาดสมดุล การทำงานของฮอร์โมนและระบบต่างๆทำงานผิดปกติ เช่น อาจขาดฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ ขาดๆหายๆ และเป็นโรคกระดูกพรุนได้ง่าย เพราะหน้าที่หนึ่งของฮอร์โมนเอสโตรเจนคือนำพาแคลเซียมไปที่กระดูก

และงานวิจัยยังพบอีกว่าคนที่มีน้ำหนักตัวน้อยเกินไปทำให้สมองต้องทำงานหนัก เพราะสมองทำงานโดยอาศัยน้ำตาลกลูโคสเป็นพลังงาน ถ้าอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักจนทำให้ร่างกายได้รับกลูโคสไม่เพียงพอ สมองจึงสร้างสารโดปามีนเพื่อเพิ่มการส่งคำสั่งไปยังกล้ามเนื้อ สมองจึงต้องทำงานหนักขึ้น ถ้าไม่อยากให้สมองทำงานหนักโดยไม่จำเป็น และโรคภัยจากความผอมมาเยือนเรามีเทคนิคการเพิ่มน้ำหนักมาฝากค่ะ

เน้นกินอาหารที่เพิ่มพลังงาน เช่น แป้ง น้ำตาล ผัก ผลไม้ ให้มากกว่าเดิม แต่ควรให้หมุนเวียนชนิดกันไป และการเพิ่มน้ำหนักที่ดีควรเพิ่มไม่เกินสัปดาห์ละ 0.5-1 กิโลกรัม อย่างสม่ำเสมอ

กินอาหารให้ได้สัดส่วน ทั้งคาร์โบไฮเดรท โปรตีน ไขมัน แทนที่จะเพิ่มแต่ของหวานๆมันๆอย่างที่นิยมกัน เพราะถ้าเพิ่มน้ำหนักวิธีนั้นจะได้เป็นไขมันสะสมตามหน้าขา หน้าท้อง ต้นขา ซึ่งคงไม่มีใครอภิรมย์แน่ค่ะ

เลือกอาหารชนิดที่ให้พลังงานสูงแต่จานไม่ใหญ่นัก เช่น ระหว่างสลัดผักกับไข่ดาวกับสเต็กปลา สเต็กปลาอาจจะให้พลังงานมากกว่าขณะที่กินในปริมาณที่น้อยกว่า

เพิ่มมื้อย่อยรวมเป็น 4-6 มื้อต่อวัน โดยเพิ่มมื้ออาหารว่างเข้าไป เช่น ซาลาเปาไส้ถั่วดำ 1 ลูก น้ำส้มคั้น 1 แก้ว หรือถั่วต้ม เป็นต้น

เพิ่มวิตามินและเกลือแร่ โดยเฉพาะวิตามินบีรวม จะช่วยเพิ่มความอยากอาหารและช่วยเผาผลาญอาหารในร่างกายให้เป็นพลังงาน

ก่อนเวลาอาหารให้เดินหรือทำกิจกรรมเบาๆ เพื่อช่วยเรียกความอยากอาหาร แต่ถ้าทำกิจกรรมหนักและนานเกินไปร่างกายจะเพลียและเหนื่อยเกินไปจนกินอะไรไม่ลง หรือจะจิบแกงจืดหรือซุปใสอุ่นๆ เพื่อเรียกน้ำย่อยก่อนอาหารก็ไม่เลว

ออกกำลังกายให้ถึงพีค สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ร่วมกับเพิ่มอาหารโปรตีน เช่น โปรตีนจากถั่ว ปลา และอาหารทะเล จะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและได้หัวใจที่แข็งแรง และเพิ่มความอยากอาหาร คนผอมที่คิดว่าออกกำลังกายจะยิ่งทำให้ผอมลง เป็นความคิดที่ผิดนะคะ

สังเกตว่าสิ่งแวดล้อมแบบไหนที่ช่วยให้เจริญอาหาร แล้วพยายามสร้างบรรยากาศเช่นนั้นในการรับประทานอาหาร เช่น โต๊ะอาหารที่จัดบรรยากาศให้น่ารัก หรือถ้วยชามลายกระจุ๋มกระจิ๋ม
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพราะขณะหลับร่างกายจะใช้พลังงานน้อยลง

ต้องตั้งใจและสัญญากับตัวเองว่าจะต้องเพิ่มน้ำหนักให้สำเร็จ และควรให้รางวัลกับตัวเองเป็นระยะๆ เมื่อเพิ่ม

7 จุดเริ่มต้น...ของสุขภาพสวย

ความงามภายในไม่ใช่จะมาเองตามธรรมชาติ เพราะเราต้องเริ่มต้นด้วยการดูแลทุกวัน และด้วยวิธีต่อไปนี้ค่ะ
ดื่มน้ำหลังตื่นนอนทันที เพราะช่วงที่เราหลับกินเวลานอนนานอย่างน้อย 6 ชั่วโมง ทำให้เลือดขันเป็นพิเศษ เมื่อตื่นนอนสาวๆ จึงควรดื่มน้ำทันทีเพื่อรักษาสมดุลของเลือด
กินผักทุกมือม่จำเป็นต้องกินสลัดผักล้วนๆ ค่ะ แต่ควรจะมีผักปนอยู่ในกับข้าวบ้างสักชิ้นสองชิ้นก็ยังดี
ออกกำลังกสบเป็นประจำ ยิ่งออกกำลังกายบ่อย เลือกก็ยิ่งสูบฉีดดี ทำให้ส่วนที่สึกหรอมีอาหารไปซ่อมแซมมากขึ้น สุขภาพก้ดีไปด้วย
นอนหลับให้ตรงเวลา เวลาที่ร่างกายเรียกร้องการนอนมากที่สุด คือสี่ทุ่ม และตื่นหกโมงเช้า ถ้าทำได้แบบนี้รับรองเฮลท์ตี้แน่นอน
กินอาหารให้ครบทุกมื้อ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ วิธีอดข้าวเพื่อให้ผอมร่างกายขอร้องว่าอย่าทำ เพราะมันคือการฆ่าตัวตายผ่อนส่ง แถมผิวก็จะโทรมอย่างเห็นได้ชัด
ทำจิตใจให้แจ่มใส นี่คือไม้ตายสำหรับความสวยแบบสุขภาพดี ถ้าเครียดตลอด 24 ชั่วโมง ต่อให้กินอาหารดีแค่ไหนก็ไม่ดีตามไปด้วย
ดื่มกาแฟให้น้อยที่สุด แล้วหันมาดื่มชาเขียวหรือชาสมุนไพรเพื่อสุขภาพแทน
อย่าลืมนำไปปฏิบัติกันนะค่ะ แล้วเชื่อว่าทุกคนจะมีสุขภาพดีทั้งภายในและภายนอกแน่นอนค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

เปลี่ยนนิสัย ปราบโรคร้ายกันเถอะ

1. ไมเกรน
ควรเลี่ยงช็อกโกแลต ไวน์แดง เนยแข็ง ของหมักดอก ปลาซาร์ดีน ปละกะตัก กาแฟ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
2. แผลในกระเพาะอาหาร
- เลิกกินหนักๆ 3 มือ เปลี่ยนเป็นกินน้อยๆ แต่กินบ่อนแกน
- เลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนทุกชนิด
- ไม่ดื่มนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยว ครีม
- เวลาทานผัดผักควรใส่พริกชี้ฟ้าแดงลงไปด้วย เพระในพริกชี้ฟ้ามีสารอาหารที่ช่วยสมานแผลในกระเพะอาหาร
3. ท้องเสีย

ควรงดกินนม ผักผลไม้สด รำข้าว ธัญพืช ขนมหวาน ของหวานจัด อาหารที่ใส่เครื่องเทศมากๆ และชา กาแฟ จนกว่าอาการจะดีขึ้น
4. ภูมิแพ้
- พยายามทานเนื้อสัตว์ให้น้อยลง และกินฌปรตีนจากถั่วเหลืองแทน
- เลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ทานผักสด ผลไม้ ข้างกล้อง ธัญพืช ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ เพราะอาหารพวกนี้ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง จะได้เลิกแพ้เสียที
5. ความดันสูง
- ทานกระเทียมสดให้ได้วันละ 1-2 กลีบ และควรทานพร้อมอาหาร เพราะกระเทียมสดๆ จะกัดลำไส้
- งดอาหารเค็มจัด เช่น อาหารฟาสต์ฟู้ด เนย ชีส ของดองเกลือ หรืออาหารสำเร็จรูป
- ทานผักผลไม้ให้มากๆ
เห็นไหมค่ะว่าสิ่งเหล่านี้เราสามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียเงินซื้อยามากินเอง โดยการรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ยกย่องเคล็ดรักษาโรคหวัด แถมราคาถูกปลอดภัยทั้งได้ผลดีด้วย



แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหวัด ต่างพากันยกนิ้วให้กับคำแนะนำของคนรุ่นย่ารุ่นยายที่สอนเอาไว้ว่า ให้ดื่มน้ำอุ่นจะได้หายเร็ว
นักวิจัยของศูนย์โรคหวัดธรรมดา มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ สหภาพแอฟริกาใต้ได้พบในการศึกษาว่า เครื่องดื่มที่เป็นน้ำผลไม้ที่ไม่มีแอลกอฮอล์อุ่นสัก 1เหยือกจะช่วยบรรเทาอาการไอและสำลักลงได้ ผู้อำนวยการศูนย์ ศาสตราจารย์รอน เอกเคิล จึงได้ฉวยโอกาสแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่ให้ดื่มน้ำผลไม้อุ่นๆ จะได้บรรเทาอาการลงได้ “มันน่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่เพิ่งมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ของผลดีในการดื่มเครื่องดื่มร้อน แก้หวัดขึ้นเป็นครั้งแรก” และเสริมว่าข้อดีของการดื่มน้ำผลไม้ นอกจากช่วยต่อสู้โรคภัยแล้ว มันยังถูกทั้งปลอดภัยและได้ผลดีอีกด้วย
รายงานผลการศึกษาเปิดเผยอยู่ในวารสารทางวิชาการ “นาสิกวิทยา” ของอังกฤษ กล่าวว่า ได้ทดลองให้อาสาสมัครที่เป็นหวัด 30คนดื่มน้ำแอปเปิ้ลและแบ็คเคอแรนต์ พบว่า มันช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล ไอจาม เจ็บคอ หนาวสั่นและเมื่อยล้า ลงได้ทันทีและคงอยู่นาน.

โปรตีน : จากสัตว์หรือพืชดีกว่ากัน?


อย่างที่พวกเราทราบกันดีอยู่แล้วว่า โปรตีนเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย ร่างกายจึงขาดโปรตีนไม่ได้
มีผู้ที่สงสัยอยู่เสมอว่าทำไมคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ ซึ่งมีสารอาหารโปรตีนอยู่มาก จึงอยู่ได้อย่างสบาย เช่น ท่านที่รับประทานอาหาร ประเภทพืชผัก ผลไม้ หรือที่เราเรียกกันว่า มังสวิรัติ คำตอบก็คืออาหารประเภทมังสวิรัติเหล่านี้ เช่น ถั่วเมล็ดแห้ง ข้าว ข้าวสาลี ข้าวโพด จะมีสารอาหารโปรตีนเป็นส่วนประกอบอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถั่วเมล็ดแห้ง จำพวกถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำและถั่วลิสงจะมีปริมาณของโปรตีนที่สูงพอสมควร

แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนจากเนื้อสัตว์เราจะพบว่าโปรตีนจากพืชส่วนใหญ่จะมีปริมาณน้อยกว่าต่อน้ำหนักที่เท่ากัน ยกเว้นพวกถั่วเมล็ดแห้ง และคุณภาพของโปรตีนในพืชจะด้อยกว่าของในสัตว์ เพราะโปรตีนที่ได้จากพืชจะมีสารที่จำเป็นไม่ครบถ้วน แต่อย่างไรก็ตาม โปรตีนจากพืชก็ยังมีความสำคัญ เพราะมีราคาถูกกว่า และเป็นอาหารหลักของประเทศที่กำลังพัฒนา เพียงแต่ต้องให้ความรู้ความเข้าใจว่าควรจะต้องได้รับโปรตีนจากสัตว์เพิ่มจากที่เป็นอยู่ เพราะจะทำให้เพิ่มทั้งปริมาณและคุณภาพของโปรตีนที่รับประทานในแต่ละวัน แต่มีข้อสังเกตบางประการที่ท่านควรทราบว่าเวลาเรารับประทานเนื้อสัตว์ สิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ยากที่สุด คือเรามักจะได้ไขมันที่ปนอยู่เข้าไปด้วย ซึ่งส่วนใหญ่เป็น ไขมันชนิดอิ่มตัว

นอกจากนี้ มีคนศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับผู้ป่วยโรคหัวใจและโรคมะเร็ง พบว่าผู้ป่วยเหล่านี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่บริโภคเนื้อสัตว์ มากกว่าผู้ที่รับประทานอาหารประเภทมังสวิรัติ

วันอังคารที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2551

ทานผักผลไม้สดมากๆ ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมกลับเป็นใหม่



ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมบางคนที่รับการรักษาหายแล้วหากรับประทานผักและผลไม้สดมากๆ จะลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมกลับมาเป็นใหม่ลงได้เกือบ 1 ใน 3 คณะนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เผยในวารสารคลินิคัลอองโคโลจีว่า ความเสี่ยงที่ลดลงดังกล่าวได้ผลเฉพาะสตรีที่ไม่มีอาการร้อนวูบวาบหลังรับการรักษามะเร็งเต้านมเท่านั้น บ่งชี้ว่าผักผลไม้สดออกฤทธิ์ต่อฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงชนิดหนึ่ง เพราะสตรีที่มีอาการร้อนวูบวาบหลังรับการรักษามะเร็งเต้านมจะมีระดับฮอร์โมนตัวนี้ต่ำกว่าคนที่ไม่มีอาการ


คณะนักวิจัยสันนิษฐานว่า เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม การรับประทานผักผลไม้สดมากกว่าที่ทางการแนะนำว่าให้รับประทานวันละ 5 หน่วยอาจช่วยลดระดับฮอร์โมนตัวนี้ให้แก่สตรีที่ผ่านการรักษามะเร็งเต้านมมาแล้ว


ผลการศึกษานี้อาจใช้อธิบายได้ว่าเหตุใดการศึกษาบางชิ้นพบว่าการรับประทานผักผลไม้มาก ๆ ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านมกลับมาใหม่ให้แก่ผู้หญิงบางคน แต่บางคนกลับไม่ได้ผล การศึกษานี้ได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้ป่วยมะเร็งเต้านม 3,000 คน อายุเฉลี่ย 53 ปี 1 ใน 3 ไม่มีอาการร้อนวูบวาบ ผู้ป่วยครึ่งหนึ่งรับประทานผักผลไม้วันละ 5 หน่วยตามที่ทางการแนะนำ


อีกครึ่งหนึ่งรับประทานผักผลไม้เพิ่มเป็นวันละ 10 หน่วย และรับประทานอาหารที่มีเส้นใยสูงไขมันต่ำมากกว่าที่ทางการแนะนำ พบว่าผู้ป่วยกลุ่มหลังเป็นมะเร็งเต้านมอีกหลังผ่านไปแล้ว 7 ปีเพียงร้อยละ 16 เทียบกับกลุ่มแรกที่เป็นถึงร้อยละ 23 และผู้ป่วยที่เข้าสู่วัยทองแล้วจะมีความเสี่ยงลดลงถึงร้อยละ 47 หากรับประทานผักผลไม้สดมาก ๆ.

วันจันทร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551

Update! กระแสสุขภาพปี 2009 กันเถอะ

วันนี้ขอเกาะกระแสหมอดูมาฟันธง เรื่องของแนวโน้มการดูแลตัวเองมาฝากคุณๆ กันบ้าง โดยเฉพาะเรื่องกระแสการดูแลสุขภาพความงาม มาดูกันซิว่า ปีหน้าฟ้าใหม่ อะไรจะมาแรงงงง
1.นวัตกรรมใหม่ แผลเล็ก เจ็บน้อย ถือเป็นพัฒนาการทางวงการแพย์ที่จะสามารถสร้างความพึงพอใจสูงสุด คือ ทำแล้วเห็นผลชัดเจน แต่เจ็บตัวน้อยกว่า คุณจึงมักจะได้ยินคำว่าแผลเล็ก เจ็บน้อย ใช้เวลาไม่นาน ฟื้นตัวเร็ว ฯลฯ จากวงการแพทย์ในช่วง 12 ปีหลังมานี้บ่อยมาก ในขณะที่นวัตกรรมก็ได้รับการพัฒนาออกมาเรื่อยๆ
2.หมดยุคการผ่าตัดและการรักษาที่ยุ่งยาก จากบทความในนิตยสาร New Beauty ของสหรัฐอเมริกา ฉบับประจำฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ปี 2008 ระบุว่า การผ่าตัดเพื่อความงามบางประเภท เช่น การผ่าตัดดึงหน้า มีแนวโน้มลดน้อยลงเรื่อยๆ ทว่า ตัวเลขที่ลดลงนี้ไม่ได้หมายความว่าสาวๆ เลิกห่วงสวย แต่เป็นเพราะมีทางเลือกอื่นแทน เช่น การใช้เทคโนโลยี "เทอร์มาจ" กระชับผิวหน้าควบคู่ไปกับการ "ฉีดโบทอกซ์ยกหน้า" ซึ่งเทรนด์การใช้เทคโนโลยีผสมผสานกันเพื่อการรักษาจะได้เห็นผลออกมาเป็นที่น่าพอใจ ก็เป็นอีกหนึ่งกระแสที่กำลังมาแรง
3.มินิเฟซลิฟต์ หรือการยกกระชับหน้าแบบไม่ต้องผ่าตัด ได้รับการคอนเฟิร์มว่าจะมาแรงแซงโค้งแน่ๆ ในปีหน้า ทั้งนี้เพราะบรรดาสาวๆ ยุค "เบบี้บูม" หรือสาวๆ ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มมีอายุย่างเข้าสู่วัย 50 ปี ผิวหน้าก็ชักจะเริ่มหย่อนคล้อย เกิดอาการหน้าห้อย หน้าตกกันมากขึ้น จึงคาดกันว่าชาว "เบบี้บูม" เหล่านี้จะเลือกทำ "มินิลิฟต์" ที่ได้ผลใกล้เคียงการทำศัลยกรรม แต่เจ็บตัวน้อยกว่ากันเยอะ และดูเป็นธรรมชาติกว่ากันแทนแน่นอน
4.สาวหุ่นดีคือสาวผอม ถึงแม้จะมีความพยายามต่อต้านนางแบบที่ผอมมากๆ แต่ความผอมก็ยังคงเป็นที่ปรารถนาของสาวๆ ทุกคน
5.ขนตายาวดกหนา เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่ "อิน" และยังไม่เอาต์ ล่าสุด มีข่าวออกมาว่า ภายในปีหน้า ราวๆ ช่วงซัมเมอร์ บริษัท อัลเลอร์แกน (บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายโบทอกซ์) จะออกผลิตภัณฑ์ที่ช่วยกระตุ้นให้ขนตางอกยาวและหนาขึ้นออกจำหน่าย หลายฝ่ายจึงคาดกันว่าผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นที่ต้องการของสาวๆ ทั่วโลก และฮือฮาพอๆ กับโบทอกซ์
6.ผิวขาว เป็นอีกหนึ่งกระแสความงามที่ไม่เคยหนีหายไปไหน ถึงแม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีประธานาธิบดีผิวสีแล้วก็เถอะ!!!
7.แอนไทเอจจิง (Anti–Aging) เป็นอีกหนึ่งกระแสสุขภาพที่คาดว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้นในปี 2009 สำหรับแนวความคิดของแอนไทเอจจิงนั้น เน้นที่การ "ป้องกัน" แทนการ "รักษา" กล่าวคือการให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ ชะลอหรือลดความเสื่อมต่างๆ เพื่อให้โรคภัยไข้เจ็บหรือความเสื่อมถอยมาถึงเราได้ช้าที่สุดหรือน้อยที่สุด ...จะว่าไปแอนไทเอจจิงก็เหมือนคำพังเพยไทยที่ว่า "กันไว้ดีกว่าแก้" นั่นแหละค่ะ
เห็นไหมคะว่า นับวัน นวัตกรรมการดูแลความสวยความงามจะก้าวไกลยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันหนุ่มสาวยุคใหม่ก็หันมาดูแลตัวเองกันมากขึ้นเช่นกัน ฉะนั้น ถ้าใครไม่อยากตกกระแส อย่าลืมหันมาดูแลสุขภาพกันด้วยนะคะ

วันเสาร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2551

น้ำส้มคั่น ขยันสู้นิ่ว!

คนไหนที่กลัวโรคนิ่วจะถามหา วันนี้ขออาสาบอกวิธิป้องกันนิ่วให้คุณ นั่นคือ น้ำส้ม ผู้ช่วยส่วนตัวของนางเอกทุกคนนั่นเอง!! น้ำส้มมีกรดซิเตรต ซึ่งจะช่วยลดความเข้มข้น ของปัสสาวะเรงลงได้ จึงเท่ากับลดโอกาสที่จะเป็นนิ่วลงไปด้วย

นอกจากน้ำส้มแล้ว ผลไม้อื่นๆ ที่มีสเปรี้ยวก็ช่วยป้องกันนิ่วได้เช่นกัน ยกเว้นน้ำมะนาว
ซึ่งเปรี้ยวจี๊ดจ้าดที่สุด แต่กลับไม่ช่วยหยุดนิ่วเลย เพราะน้ำมะนาวมีกรดไอโดรเจนผสมอยู่ ทำให้ความเข้มข้นของปัสสาวะไม่ลดลง

อย่างนี้รู้แล้วก็อย่านิ่งเฉยกันนะค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2551

วิธีอร่อย ได้แบบไม่อ้วน !!!

"อ้วน" กำลังจะกลายเป็นคำหยาบที่ไม่มีใครอยากได้ยิน ใครๆ ต่างพากันหาวิธีรักษาสุขภาพให้ไม่อ้วน หรือตกอยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน กันยกใหญ่

สูตรลดความอ้วนหลายหลากถูกนำเสนอกันขึ้นมา ล่าสุด จากการวิเคราะห์ผลการสำรวจภาวะโภชนาการแห่งชาติ โดยสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่าร้อยละ 63.4 ของพลังงานที่คนไทยบริโภคในแต่ละวันนั้น มาจากข้าวและผลิตภัณฑ์จากธัญพืช บวกกับพลังงานร้อยละ 2.1 ได้มาจากน้ำตาลทราย แล้วยังมีพลังงานส่วนน้อยที่มาจากคาร์โบไฮเดรตในเครื่องดื่ม (1.4%) และผลไม้ (1.1 %) แสดงว่า พลังงานคาร์โบไฮเดรตที่คนไทยบริโภคแต่ละวัน คิดเป็นร้อยละ 60 กว่านั้น ทำให้คนวัยทำงานเกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ดังนั้นจึงควรจะลดสารอาหารคาร์โบไฮเดรตในแต่ละวันลง

รศ.ดร.ปรียา ลีฬหกุล อาจารย์นักโภชนาการจากสำนักงานวิจัย คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี แนะนำว่าคนไทยสามารถหลีกหนีโรคอ้วนโดยยังอร่อยได้อร่อยดีอยู่ ไม่ขัดกับชีวิตประจำวันและยังมีความสุขกับการกินได้ โดยให้คำนึงถึงหลักว่า

"น้ำหนักคนเราอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ เมื่อพลังงานที่ได้รับจากอาหารสมดุลกับพลังงานที่ใช้ในแต่ละวัน" รศ.ปรียา กล่าว พร้อมทั้งอธิบายว่า การที่พลังงานสมดุลไม่เหลือสะสมในรูปไขมัน ก็ไม่ต้องกังวลกับตัวเลขว่าต้องกินวันละกี่กิโลแคลอรี ขอเพียงชั่งน้ำหนักทุกวัน ถ้าอยู่ในเกณฑ์ปกติ แสดงว่าได้พลังงานพอไม่มากหรือน้อยไปดังนั้น การกินน้ำตาลบ้าง ร่วมกับอาหารไขมันต่ำ จะทำให้อาหารนั้นยังอร่อยอยู่ และง่ายต่อการปฏิบัติตาม

นอกจากนี้ จากงานวิจัยที่ได้ศึกษาพบว่าการกินอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล จะให้ความรู้สึกอิ่มและลดความอยากอาหารได้ดี ในขณะที่การกินอาหารพลังงานสูงๆ โดยเฉพาะจากไขมัน รวมทั้งการใช้ชีวิตที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวมาก จะเป็นสองปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน และโรคอ้วนจัดว่าเป็นอีกเคล็ดลับหนึ่งในการลดน้ำหนัก แบบไม่ทำร้ายจิตใจ

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2551

กินปลาดีกว่าน้ำมันปลา ป้องกันเสี่ยง โรคหัวใจ



สถาบันอาหาร สุขภาพ และโภชนาการมนุษย์แห่งนิวซีแลนด์ แนะนำว่า ควรจะกินปลาแซลมอนโดยตรงจะได้ คุณประโยชน์มากกว่ากินน้ำมันปลาแคปซูล

นักวิจัยของสถาบันได้ศึกษาพบว่า แม้ว่าการกินปลากับกินแคปซูลน้ำมันปลาจะได้ประโยชน์พอๆ กัน ช่วยเพิ่มระดับของสารโอเมกา-3 แต่การกินปลายังได้คุณประโยชน์ ช่วยให้เลือดมีความเข้มข้นของเซเลเนียมที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นอีกด้วย

ผู้ช่วยศาสตราจารย์เวลมา สโตนเฮาส์ หัวหน้าคณะนักวิจัย ยังแจ้งด้วยว่า เซเลเนียมนอกจากมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเป็น มะเร็ง แล้ว ยังเชื่อว่ามันยังช่วยขจัดความเสี่ยงของโรคหัวใจอีกด้วย

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

อาหารชนิดไหน? ใช้เวลาย่อยนานที่สุด

อาหารที่ยิ่งใช้เวลาย่อยนานก็ยิ่งเปลื้องพลังงาน และขับถ่ายออกมาลำบาก ดังนั้นเราจึงควรเลือกทานแต่ของที่ย่อยงานๆ และไม่ลำบากกับลำไส้ อะไรที่จะย่อยง่ายที่สุด มาดูกันค่ะ
30 นาที ได้แก่พวกน้ำ กาแฟ ชา น้ำสมุนไพร และแพงจืดหมูสับ
1 ชั่วโมง ได้แก่พวกขนมปังขาว โยเกิร์ต นม ผลิตภัณฑ์นม และผลไม้สุกแล้ว
2 ชั่วโมง ได้แก่พวกผลไม้ ผัก มันฝรั่ง เนื้อปลา
3 ชั่วโมง ได้แก่พวกครัวซองต์ ขนมปังโฮสวีต โดนัท เค้ก ขนมปังเบเกอรี่
4-7 ชั่วโมง ได้แก่พวกหมูสับ ของทอด เห็ด ผลไม้เปลือกแข็ง
8-9 ชั่วโมง ได้แก่พวกขาหมู ผักกะหล่ำ เนื้อวัว เนื้อนกกระจอกเทศ