วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตรวจเต้านมด้วยตัวเองกันเถอะ!

มะเร็งเต้านม โรคร้ายที่ทำให้ผู้หญิงเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย และมักคืบคลานสู่ผู้หญิงส่วนใหญ่อย่างไม่รู้ตัว หากไม่รู้จักป้องกันเสียแต่วันนี้ พรุ่งนี้อาจสายไป

แอน ทองประสม ดาราสาวสวยเจ้าบทบาท เป็นหนึ่งในแอมบาสซาเดอร์ โครงการมะเร็งเต้านม ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ กล่าวเตือน สาว ๆ ว่า ขอให้ผู้หญิงทุกคนหันมาใส่ใจตรวจสุขภาพตัวเองปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากค่าใช้จ่ายไม่ได้สูงอย่างที่คิด หรือใครจะตรวจหน้าอกเบื้องต้นด้วยตัวเอง ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อการรักษาได้ทันท่วงที ขอให้ทุกคนคำนึงถึงสุขภาพมากกว่าเงิน เพราะ การไม่มีโรค ถือเป็นลาภอันประเสริฐ

วันนี้จึงขอนำวิธีตรวจเต้านมแบบถูกวิธีด้วยตนเองมาบอก

ผู้หญิงที่อายุ 20 ปี ขึ้นไป สามารถตรวจได้ และเวลาที่เหมาะสมคือ เดือนละ 1 ครั้ง หลังหมดประจำเดือน 7 วัน ดังนี้

ขั้นที่ 1 ตรวจขณะอาบน้ำ
เพราะเป็นระยะเวลาที่ผิวหนังเปียกและลื่น จึงทำให้การตรวจง่ายขึ้น ทำโดยใช้ปลายนี้วมือวางราบบนเต้านม คลำและเคลื่อนนิ้วมือ ในลักษณะคลึง เบาๆ ให้ทั่วทุกส่วนของเต้านม เพื่อค้นหาก้อนหรือ เนื้อที่แข็งเป็นไตผิดปกติ

ขั้นที่ 2 ตรวจหน้ากระจก ทำได้ 2 วิธี
ยืนตรงมือแนบลำตัว แล้วยกแขนขึ้นสูงเหนือศีรษะ สังเกตลักษณะของเต้านมเพราะการเคลื่อนยกแขนขึ้นนั้น จะสามารถมองเห็นความผิดปกติ ยกมือท้าวเอว เอามือกดสะโพกแรง ๆ เพื่อให้เกิด การเกร็งและหดตัวของกล้ามเนื้ออก สังเกตดูลักษณะ ที่ผิด

ขั้นที่ 3 ตรวจในท่านอน
นอนราบและยกมือข้างหนึ่งไว้ใต้ศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่ง ตรวจคลำให้ทั่วทุกส่วน ของเต้านม โดยเริ่มต้นที่จุดบริเวณส่วนนอกเหนือสุดของเต้านม เวียนไปโดยรอบเต้านม แล้วเคลื่อนมือเขยิบเข้ามาเป็นวงแคบเข้าจนถึง บริเวณหัวนม จากนั้น ค่อย ๆ บีบหัวนมโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ เพื่อสังเกตดูว่ามี น้ำเลือดน้ำหนอง หรือน้ำใส ๆ อื่นใด ออกมาหรือไม่ เสร็จแล้วตรวจเต้านมอีกข้างหนึ่ง ในลักษณะเดียวกัน

วิธีเหล่านี้ ทำได้ง่าย ๆ แต่ได้ผลดี ควรนำไปปฏิบัติและบอกต่อ เพื่อให้ผู้หญิงไทยห่างไกลจากโรคมะเร็ง.

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผมสลวยด้วยอาหารดี

อาหารที่ดีนอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรง ยังมีผลดีต่อเส้นผมนุ่มสลวยสวยเก๋ของคุณด้วย เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว โดยทั่วไปคุณค่าอาหารล้วนมีประโยชน์ต่อเส้นผมทั้งนั้น แต่สารอาหารต่อไปนี้ถือว่ามีผลโดยตรงต่อสุขภาพผมของคุณ

น้ำ จำเป็นทั้งสำหรับผิวและผม น้ำเป็นส่วนประกอบ 1 ใน 4 ของน้ำหนักของผม ความชุ่มชื้นจะทำให้ผมมีสุขภาพดี แต่ต้องมั่นใจว่าดื่มน้ำบริสุทธิ์ด้วยนะ

ธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับการนำออกซิเจนมาสู่เส้นผม หากได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ผมก็จะขาดออกซิเจนไปด้วย กินถั่วต่างๆให้หลากหลายจะได้รับธาตุเหล็กเพียงพอสังกะสี จำเป็นสำหรับการสร้างโปรตีนให้ผม และป้องกันผมร่วงได้ด้วย อาหารทะเลเป็นแหล่งที่มีสังกะสีอยู่มากทีเดียว

ทองแดง เกี่ยวข้องกับสีของผมค่ะ ช่วยให้ผมดกดำ ไม่หงอกเร็วก่อนวัย ทองแดงมีมากในอาหารทะเล ผักสด ถั่ว ฯลฯ

วิตามินเอ สำคัญมากสำหรับสุขภาพหนังศีรษะและสุขภาพผิวด้วย คนรักสวยรักงามขาดไม่ได้

โปรตีน ช่วยปกป้องเส้นผม อยากมีสุขภาพผมดีต้องไม่ขาดโปรตีน

วิตามินบีและวิตามินซี สำคัญมากสำหรับวงจรการสร้างเส้นผม ช่วยให้ผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย แถมยังมีผลต่อการเติบโตและสีของผมด้วย

แทนที่จะสนใจเฉพาะสารอาหารเหล่านี้ คุณควรรับประทานอาหารให้ครบถ้วนทุกหมวดหมู่อย่างเหมาะสม คุณก็จะได้เป็นเจ้าของผมสวยและสุขภาพดี อย่าลืมรักษาความสะอาดของเส้นผมและออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ดี มีผลต่อสุขภาพผมด้วยเช่นกัน

วิธีลดแคลอรี่ส่วนเกิน

วิธีลดแคลอรี่ส่วนเกิน (เดลินิวส์)

ใครที่อยากลดแคลอรี่ในร่างกาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...กับวิธีต่อไปนี้จะทำให้สามารถลดปริมาณแคลอรี่ไปได้ตั้งเกือบๆ 100 แคลอรี่

1. เวลาจะเจียวไข่ให้ใส่ผักสด เช่น หัวหอม มะเขือเทศ เห็ดสดลงไปด้วย และใช้วิธีทอดด้วยน้ำแทนจะทำให้อิ่มท้องเร็วขึ้น และน้ำมันที่ตัดออกไปก็คือการกำจัดไขมันที่จะเข้าสู่ร่างกายโดยตรง

2. เปลี่ยนจากทานข้าวขาวมาทานข้าวกล้อง และเปลี่ยนจากขนมปังขาวธรรมดามาทานขนมปังโฮลวีตแทน เส้นใยในข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีตจะช่วยเรื่องขับถ่าย ทำให้น้ำหนักลดลงได้

3. เลิกทานขนมปังพร้อมเนย จะช่วยกำจัดปริมาณแคลอรี่ได้ถึง 75 กิโลแคลอรี่ ต่อขนมปัง 1 แผ่น

4. ทานข้าวน้อยลง 1 ทัพพีสามารถลดได้ 80 แคลอรี่ ทำทั้ง 3 มื้อกำจัดไป 240 แคลอรี่

5. เปลี่ยนขนาดแก้วที่ใส่น้ำผลไม้ให้เล็กลง หรือถ้าดื่มจากกล่องก็ลดขนาดจากกล่อง 250 ซีซี มาเป็น 200 ซีซี แทน

6. เวลาจะเติมน้ำตาลในชาหรือกาแฟ ให้เปลี่ยนมาใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลสามารถลดได้ 32 แคลอรี่

7. ใช้นมพร่องมันเนย แทนครีมเทียม

8. เวลาทานสลัดผัก ลดปริมาณน้ำสลัดลง 1 ช้อนโต๊ะ จะลดแคลอรี่ได้ 60 แคลอรี่ ถ้าลดปริมาณน้ำสลัดแบบน้ำใสลง 1 ช้อนโต๊ะ จะกำจัดไปได้อีก 45 แคลอรี่

9. ทานอาหารเช้าที่ให้พลังงานต่ำ เช่น แกงจืดผักใส่เต้าหู้หรือผัดผักใส่เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและอาหารใน 1 มื้ออนุญาตให้มีอาหารประเภททอดหรือผัดได้เพียง 1 อย่างเท่านั้น

10. ถ้าใส่น้ำตาลเพียงครึ่งซอง หรือลดปริมาณน้ำตาลจาก 2 ช้อนชา (2 ก้อน) เป็น 1 ช้อนชา (1 ก้อน) จะลดได้ 15 แคลอรี่

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากให้แคลอรี่เกินมาตรฐาน ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กินแมงลักหุ่นดี ขับถ่ายคล่อง

แมงลัก เป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา ลักษณะของต้นแมงลักจะคล้ายต้นกะเพรา ต่างกันที่กลิ่น และใบจะ มีสีเขียวอ่อนกว่า แมงลักมีชื่อเรียกตาม ท้องถิ่นว่า มังลัก (ภาคกลาง) ก้อมก้อขาว (ภาคเหนือ) ลำต้นสูงประมาณ 65 เซนติ เมตร มีกลิ่นหอมทุกส่วน ใบเป็นใบเดี่ยว รูปร่างรี ขอบใบเรียบหรือหยักมน ดอกออกช่ออยู่ปลายยอด กลีบดอกมีสีขาวและร่วงง่าย ดอกจะออกรอบก้าน ช่อดอกจะออกเรียงเป็นชั้นๆ ผลเป็นผลชนิดแห้ง ภายในมี 4 ผลย่อย เรียกว่า เม็ดแมงลัก


แมงลักนำไปใช้ได้ทั้งใบและเมล็ด ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียว กับกะเพราและโหระพา ส่วนมากจะใช้รับประทานกับขนมจีน หรือใส่เครื่องแกง ต่างๆ แต่ที่ขาดไม่ได้คือ แกงเลียง ถ้าไม่มีใบแมงลักจะไม่มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงเลียงตามสูตรโบราณ ส่วนเมล็ดแมงลักใช้ทำเป็นขนมอื่นๆ ได้


เมล็ดแมงลักนำมาทำเป็นยาระบายและอาหารเสริมลดความอ้วนได้ โดยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า เม็ดแมงลักประกอบด้วยสารคาร์โบไฮเดรตหลายชนิด ซึ่งเป็นโมเลกุลใหญ่ และสารประกอบอื่นๆ บริเวณเปลือกนอกของเม็ดเป็นสารเมือก ซึ่งสามารถพองตัวได้ 45 เท่า และได้ มีการวิจัยพบว่าเม็ดแมงลักมีสรรพคุณเป็น ยาระบาย เพิ่มกากอาหารได้ และเมือกยังสามารถช่วยหล่อลื่นให้อุจจาระอ่อนตัว สามารถขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น


หลายคนได้นำเม็ดแมงลักมารับประทานก่อนอาหาร หรือบางคนก็รับประทาน แทนอาหาร เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารว่าง จึงสามารถใช้ลดความอ้วนได้ เพราะเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน นอกจากนี้ ใบแมงลัก ยังประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยประเภทการบูร, เบอร์นีอัล, ซีนีออล และยูจีนอล จึงมีสรรพคุณขับลม ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกลากและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้


สำหรับวิธีเตรียมยา ถ้ามีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ให้นำใบสดมาล้างให้สะอาดแล้วรับประทานได้เลย ส่วนโรคกลาก ให้นำใบสด ประมาณ 10 ใบมาล้างให้สะอาด ตำผสมน้ำเล็กน้อย นำไปทาบริเวณที่เป็นวันละ 1 ครั้ง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก็จะดีขึ้น ให้ทาจนกว่าจะหาย


วิธีรับประทานเม็ดแมงลักลดความอ้วน ใช้เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้วใหญ่ ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ ถ้าใช้เป็นยาระบายให้ทานก่อนนอน ถ้าเป็นยาลดความอ้วนให้ทานก่อนอาหารหรือ ทดแทนอาหารเป็นบางมื้อ เพราะอาจเป็นโรคขาดสารอาหารได้



แต่ข้อเสียการรับประทานเม็ดแมงลักในปริมาณมากๆ อาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง หรือถ้ารับประทานในขณะที่เม็ดแมงลักยังไม่พองเต็มที่ ก็จะมีการดูดน้ำจาก กระเพาะอาหารได้ ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็งและอุดตันลำไส้ ทำให้ท้องผูกได้มากขึ้น



การปลูกแมงลักปลูกง่าย โดยวิธีเพาะเมล็ด แมงลักขึ้นได้ดีกับดินทุกประเภท ชอบแสงแดดจัด กลางแจ้ง โตเต็มที่สูง ไม่เกิน 3 ฟุต เมื่อเพาะต้นอ่อนที่อายุ 3 สัปดาห์ ควรแยกให้แต่ละต้นอยู่ห่างกัน 20 เซ็นติเมตร หรืออาจใช้กิ่งก้านที่เหลือจากเด็ดใบใช้ไปแล้วมาปักชำ



เพื่อระบบขับถ่ายที่ดีอย่าลืมรับประทานแมงลักเป็นประจำ เพราะแมงลักนอกจากจะช่วยในระบบขับถ่ายแล้วยังสามารถใช้ลดน้ำหนักได้ดีอีกด้วย เพียงแค่นี้เราก็จะมีสุขภาพที่ดีควบคู่ไปกับรูปร่างที่สวยงามเพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการดำเนินชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แก้ปัญหาผมบางด้วยอาหาร

แก้ปัญหาผมบางด้วยอาหาร (ชีวจิต)

เมื่อวัยร่วงโรยผมก็ร่วงตามที่เคยดกดำบ้าง ก็เปลี่ยนเป็นสีขาว บ้างก็อำลาหนังศีรษะตลอดกาล เอาแต่โอดโอยอาวรณ์ ผมก็ไม่กลับมา ทิ้งให้หนังศีรษะต้องโดดเดี่ยวเอกา แต่มีหรือที่คนรักสุขภาพอย่างเราจะนิ่งดูดาย มาหาของกินเรียกผมคืนกันดีกว่าค่ะ ของกินที่ว่าได้แก่

กินเมล็ดฟักทอง ถั่วต่างๆ ที่เป็นแหล่งรวมของสังกะสี

แตงกวา และข้าวโอ๊ต เพื่อให้ได้รับซิลิกาอย่างเพียงพอ

สาหร่ายทะเลแห้ง เต้าหู้ พาสลี่ งา และเมล็ดทานตะวันเพื่อให้ได้ธาตุเหล็ก

ปลา แหล่งรวมโปรตีน และกรดโอเมก้า 3

ข้าวกล้อง และธัญพืช เสริมวิตามิน บี

ผักใบเขียวเพื่อให้ได้โฟลิกแอซิด

ขอบอกไว้ก่อนนะคะคุณลุงคุณป้า แม้จะกินจนได้สารอาหารเหล่านี้มากมายเพียงพอแล้ว ก็ใช่จะทำให้ผมสลวยสวยเก๋เหมือนเดิมได้ ต้องทำใจรับเงื่อนไขของสังขารด้วย เราแค่มากินชะลอวัยกันเท่านั้นค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย (ชีวจิต)
แม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สวยด้วยการกิน

สวยด้วยการกิน (From First Magazine)

"กินอะไรทำไมสวยจัง" เรามักได้ยินประโยคเด็ดเช่นนี้อยู่เป็นประจำ หลายคนจึงสงสัยว่า "สวยด้วยการกิน" ได้ด้วยหรือ

อาหารผิวดี

- สับปะรดและส้ม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณสดใสดูอ่อนกว่าวัย

- มะนาว อุดมด้วยวิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อผิว และยังช่วยทำความสะอาดตับ

- มะเขือเทศ มีทั้งวิตามินซีและlycopene ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและป้องกันผิวเสียจากรังสียูวี

- แครอท มีเบต้าแคโรทีนมาก ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นสำหรับผิว

- กีวี, อะโวคาโด และน้ำมันมะกอก ประกอบไปด้วยวิตามินซี เป็นประโยชน์ต่อการสร้างและยืดอายุคอลลาเจนใต้ผิวเรา

- ผักโขม อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอมชมพู

- โยเกิร์ต ช่วยในการขับถ่ายของเสียทำให้ผิวพรรณสดใส

- ปลา อุดมไขมัน น้ำมันปลาทำให้ผิวพรรณเต่งตึง

อาหารผมสวย

- ไข่ เต็มไปด้วยโปรตีนซึ่งจะทำให้ผมเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง

- ปลาที่มีกรดไขมัน (โอเมก้า) เช่น ปลาแซลมอน ทูน่า ควรรับประทาน 2 มื้อต่อสัปดาห์

- อะโวคาโด มีวิตามินบี 5 เยอะ ช่วยชะลอการเกิดผมหงอก

อาหารตาใส

- ผักโขม, ถั่ว และ ข้าวโพด มีสารLutein ซึ่งทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันโรคที่เกิดกับตา ป้องกันการทำลายเรติน่าจากรังสียู

- แครอท, ตำลึง และผักบุ้ง มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นวิตามินเอ ช่วยในการมอง ซึ่งส่งผลให้เราไม่ต้องเพ่งหรือเกร็งตามากๆ จึงทำให้โอกาสเกิด "ตีนกา" น้อยลง

อาหารฟันแข็งแรง

- นม, ปลา และน้ำซุปที่ตุ๋นจากซี่โครงสัตว์ (ไก่และหมู) มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งทำให้ฟันแข็งแรง แถมนมยังปกป้องฟันจากแบคทีเรียได้อีกต่างหาก

- เนยแข็ง จะเพิ่มปริมาณน้ำลายในปากควรกินหลังอาหารจะทำให้กรดในปากเจือจางลง ป้องกันฟันผุ

- และที่ขาดไม่ได้ก็คือการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายของเรา น้ำมีความสำคัญมากเพราะน้ำจะไปเพิ่มเติมความชุ่มชื้นในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ระวังหากเป็นหวัดควรหลีกเลี่ยงการขับรถ

การเป็นหวัดไม่ว่าหวัดสามัญหรือโรคไข้หวัดใหญ่ อย่างหนัก จะรบกวนปฏิกิริยาตอบสนองเวลาขับรถอย่างหนักบริษัทประกันภัยลอยด์ส ทีเอสบี ของอังกฤษเปิดเผยว่า
ในการศึกษาด้วยเครื่องจำลองการขับรถ กับผู้ขับรถที่ป่วยด้วยอาการต่าง ๆ ตั้งแต่เป็นหวัด มีอาการเครียดและปวดศีรษะ 100 คน พบว่า คนที่เป็นหวัดจะขับรถได้เลวลงโดยเฉลี่ยแล้วร้อยละ 11 เทียบได้กับผู้ที่ล่อวิสกี้เข้าไปสองแก้ว
การขับรถเลวลงไปร้อยละ 11 จะมีผลทำให้อาการตอบสนองช้าลง เทียบเท่ากับต้องใช้ระยะทางเพิ่มขึ้นอีก 1 เมตร หากขับอยู่ด้วยความเร็ว 48 กม.ต่อชั่วโมง และหากใช้อัตราความเร็วปกติเต็มที่ จะต้องใช้ระยะทางเพิ่มอีกถึง 12 ม.
รายงานได้บอกเตือนว่า อาการไม่สบายขณะขับรถ ยิ่งหากบวกด้วยฤทธิ์ยา หรือความเมื่อยล้า หรือหากดื่มมาเล็กน้อยด้วย จะมีผลกับความสามารถในการขับขี่อย่างสำคัญ นายแพทย์ดอว์น ฮาร์เปอร์ ได้เสริมว่า ในการขับรถอย่างปลอดภัย ต้องใช้สมาธิและปฏิกิริยาตอบสนองที่ทันกาล แค่เพียงเป็นหวัดเพียงนิดหน่อยก็ทำให้ความสามารถทั้งสองอย่างเสียลงมากแล้ว

โฆษกของบริษัทแจ้งว่า "การขับรถยามที่ไม่สบาย ก่อให้เกิดอุบัติเหตุปีละหลายพันครั้ง หากว่าเป็นหวัดไม่ว่าจะเป็นหวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ ถ้าหากหลีกเลี่ยงการขับรถ ได้ควรจะหลีกเลี่ยงเสีย"

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทริคชะลอความแก่ง่าย ๆ

ใคร ๆ ก็ไม่อยากแก่ โดยเฉพาะผู้หญิง เมื่ออายุขึ้นเลข 3 ก็แทบจะร้องหาตัวช่วยชะลอความแก่กันยกใหญ่ แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อไม่สามารถหยุดเวลาได้ นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช และ แพทย์หญิง ณัฐินี สุทธินรเศรษฐ์ มีวิธีสูงวัยอย่างสง่างามมาบอก

ท่องจำไว้ หลักต้านชราง่าย ๆ มีอยู่ 3 H

อันแรก Healthy Weight ลองสังเกตคนที่มีน้ำหนักมากเกินมาตรฐาน จะค่อนข้างดูแก่กว่าคนทั่วไป ฉะนั้น คุมน้ำหนักให้ดีถ้ากลัวแก่ เจ้าอาหารตัวร้ายที่ต้องระวังก่อนหยิบเข้าปาก คือแป้งและข้าวขัดสี จำพวก ข้าวสวยและขนมปัง

ต่อมา Healthy Diet & Lifestyle ปรับการดำเนินชีวิตให้ดี ให้เหมาะสม เช่น เป็นไปได้อย่านอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์สังสรรค์จนลืมตายทุกวันหยุด หรือถ้ากลัวกระดูกพรุนตอนแก่ รับประทานผักให้มากที่สุด ควบคู่กับการออกกำลังกาย ถ้าใครยังอ้างว่าไม่มีเวลา แค่ขยับแข้งขยับขานิดหน่อยตอนดูละครก็ช่วยได้

ท้ายสุดแสนสำคัญ Healthy Mind ออกกำลังกายเสร็จแล้ว อย่าลืมออกกำลังใจด้วย อยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่ายึดติดอดีต กังวลกับอนาคต ยิ้มรับกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น รับรองว่าความแก่ไม่กล้ามาเยือน ถ้าวิธีที่กล่าวมา ยากเกินกว่าจะทำได้

เทคโนโลยีเป็นอีกตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นครีมบำรุงผิว การรับประทานอาหารเสริม จนถึงนำเครื่องมือทางการแพทย์มาช่วย ได้แก่ การยิงเลเซอร์ทำลายกระ ฝ้า ที่ปัจจุบันไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนเพราะผลข้างเคียงน้อยลง หรือการใช้สารเคมีฉีดโบท๊อกซ์หน้าตึงที่หลายคนฮิต แต่ต้องทราบก่อนว่าคือการฉีดสารโปรตีนชนิดหนึ่งเข้าไปในผิว คุณสมบัติช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้ริ้วรอยลดลง จึงต้องทำบ่อย ๆ เพราะไม่ได้เป็นวิธีเพิ่มคุณภาพให้ผิวเหมือนกับการกระตุ้นการสร้างหรือยับยั้งการทำลายฮอร์โมนหนุ่มสาวที่อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

แต่อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าสร้างสมดุลของร่างกายจากภายในสู่ภายนอก เป็นวิธีที่ดีที่สุด อย่างที่ยาขนานไหน หรือการผ่าตัดสมัยใหม่อย่างไรก็สู้ไม่ได้ เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป อย่าลืมว่า

ความแก่มาเยือนเร็วกว่าที่คิด

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความหวังใหม่ วัคซีนป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยลดผู้ป่วยมะเร็ง1 ใน 5

หากว่านักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเซาธ์ ออสเตรเลีย ทำการวิจัยได้สำเร็จจะสามารถช่วยป้องกันมนุษย์ จากโรคมะเร็งร้ายไว้ได้มาก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จอห์น เฮย์บอลล์ กับคณะ กำลังศึกษาค้นคว้า สร้างวัคซีนเพื่อป้องกันโรคมะเร็งพวกที่เกิดจากไวรัส อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบชนิด บี และโรคจากเชื้อไวรัสหูด ไวรัสนี้เป็นตัวการก่อให้ เกิดโรคมะเร็งถึงร้อยละ 20 "ถ้าหากเราสามารถป้องกันไม่ให้ติดเชื้อนี้ได้ ก็จะมีทางที่จะลดจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งลงได้ถึง 1 ใน 5 นับเป็นความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว"

หมอจอห์นกล่าวต่อไปว่า "เราหวังว่าจะพัฒนาเทคโนโลยีหลัก เพื่อก่อรูปของวัคซีนซึ่งไม่แต่เพียงเพื่อป้องกันเท่านั้น หากยังรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ อันเกิดจากไวรัส หลังจากที่มันได้ยึดที่มั่นอยู่ในตัวคนได้ แล้วด้วย"

วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

น่ารู้ เรื่องยาเลื่อนประจำเดือน

สาว ๆ อาจรู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ หากวันที่จะต้องเดินทางไกล ไปเที่ยวทะเล ไปเข้าค่าย หรือวันสำคัญในชีวิต คือ วันแต่งงาน แล้วบังเอิญเป็นช่วงประจำเดือนมาพอดี

ดังนั้นหลายคนจึงต้องวางแผน ด้วยการไปซื้อ "ยาเลื่อนประจำเดือน" มากินล่วงหน้า แต่อย่างว่าคนไม่เคยใช้ ก็ย่อมวิตกกังวลเป็นธรรมดา ว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรตามมาหรือเปล่า

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.นพ.อภิชาติ จิตต์เจริญ ภาควิชาสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยา ลัยมหิดล บอกว่า ยาเลื่อนประจำเดือน ถ้ามีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนอย่างเดียว เรียกว่า "แบบเดี่ยว" แต่ถ้าเป็น “แบบผสม” จะมีทั้งโปร เจสโตเจนและเอสโตเจนรวมกัน ซึ่ง "แบบผสม" อาจมีผลข้างเคียงมากกว่า โดยทั่วไปที่ใช้กันอยู่จึงเป็นชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนตัวเดียว

ปกติการใช้ยาเลื่อนประจำเดือนจะไม่ใช้กันพร่ำเพรื่อ จะใช้ลักษณะชั่วครั้งชั่วคราว ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ เช่น ต้องเดินทางไปท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมสำคัญ ๆ โดยต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร

วิธีการใช้ จะต้องกินยาล่วงหน้าอย่างน้อย 4-5 วัน หรือ 1 สัปดาห์

เพราะถ้าไปกินในช่วงวันใกล้มีประจำเดือนอาจจะไม่ได้ผล กินยาวันละ 2 เม็ด ตอนเช้าและตอนเย็น ติดต่อกันในขนาดที่กำหนด แต่ไม่ควรเกิน 10-14 วัน เพราะการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอย และรอบเดือนมาผิดปกติได้ เมื่อหยุดยาแล้ว ประจำเดือนจะไม่มาทันที อีกประมาณ 2-3 วันต่อจากนั้น ประจำเดือนจึงจะมาตามปกติ

สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการกินยาเลื่อนประจำเดือน เช่น

บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เป็นบางเวลา หรือ อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอย ส่วนผลข้างเคียงอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ถือว่ามีความปลอดภัย บางคนที่เคยกินยาเลื่อนประจำเดือนบอกว่า ผลข้างเคียงของยาทำให้รอบเดือนแปรปรวน ?

ศ.นพ.อภิชาติ กล่าวว่า ก็อาจเกิดขึ้นได้ จากระดับฮอร์โมนที่ร่างกายได้รับเข้าไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่แนะนำให้ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน

นอกจากยาเลื่อนประจำเดือนออกไปแล้ว มียาเลื่อนประจำเดือนให้เร็วขึ้นหรือไม่ ? ศ.นพ.อภิชาติ กล่าวว่า ก็มี แต่การเลื่อนเข้ามาจะยากกว่า ส่วนใหญ่จะไม่ทำกัน โดยมากจะเลื่อนประจำเดือนออกไปมากกว่า โดยในการเลื่อนประจำเดือนเข้ามานั้น จะให้กินยาเม็ดคุมกำเนิด พอหยุดยา เลือดก็จะออกมา

วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552

อิ่มไม่อ้วน สวนกระแสเทศกาล


เพิ่งจะเลี้ยงฉลองปีใหม่ ผ่านไป เผลอแป๊บเดียว อ้าว! ตรุษจีนมาเยือนอีกแล้ว ทั้งสองเทศกาลต่างก็นำพาความสุขมาสู่หมู่ชน โดยเฉพาะคนชอบชิม ชอบกินอาหารอร่อยเลิศรสต่างก็อดใจไม่ไหว แม้ในใจอาจจะกังวลอยู่นิดๆ ว่ากินมากไปแล้วจะอ้วน
แต่ไม่ต้องห่วง เรามีเคล็ดลับอิ่มไม่อ้วนสวนกระแสเทศกาลงานเลี้ยงต่างๆ มาฝากกัน
ข้อแรก กินโปรตีนเยอะได้ แต่ไขมันต้องน้อย เพราะโปรตีนจะทำให้รู้สึกอิ่มนาน อย่างเนื้อไก่ก็ต้องเอาหนังออก ส่วนอาหารพวกแป้งและไข-มันให้กินได้แต่ต้องน้อยถึงน้อยที่สุด
ข้อสอง กินผักผลไม้ให้ หลากหลาย อันนี้ไม่ได้บอกให้กินแต่ผัก แต่มีคำแนะนำว่าให้กินผักและผลไม้หลายชนิดคละกันไปพร้อมอาหารเคล็ดลับ
ข้อถัดมา ตักอาหารทีละน้อย อย่าตักจนล้นจานแล้วเสียดายทีหลัง
ข้อสี่ เริ่มต้นกินอาหารน้ำๆ ก่อน เพื่อให้กระเพาะรับอาหารหนักๆ ได้น้อยลง จะทำให้รู้สึกอิ่มและได้อรรถรสในการกินไปพร้อมกันโดยไม่ต้องกินมากข้อห้า ควรพักยกระหว่างรับประทาน อย่าได้ใช้เวลากินติดกันนานรวดเดียว แต่เมื่อรู้สึกอิ่มแล้วให้รีบลุกจากโต๊ะแล้วชวนกันไปคุยที่อื่น ถ้าหิวแล้วค่อยกลับมาเริ่มใหม่ได้อีก
ข้อหก ถ้าเป็นงานเลี้ยงแบบที่เอาอาหารไปด้วย ควรนำอาหารไขมันต่ำติดตัวไป
ข้อเจ็ด ให้เพลาเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง แม้การเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในงานเลี้ยงจะเป็นเรื่องยาก แต่ให้ท่องไว้ว่าไวน์หรือเบียร์หนึ่งแก้วใหญ่ ให้พลังงาน 200 แคลอรี ดังนั้นยิ่งดื่มมากยิ่งเพิ่มแคลอรีใส่ตัวมากขึ้น
ข้อแปด กินแล้วต้องออกกำลังกาย เรื่องนี้สำคัญมากขาดไม่ได้ โดยอาจหารูปแบบการออกกำลังกายแบบง่ายๆ ในบ้าน เช่น หยอกล้อเล่นกับเด็ก หรือวิ่งไล่จับกันในบ้านก็เป็นการออกกำลังกายที่มีงานวิจัยรับรองว่าได้ผลดีเช่นกัน
ทั้งหมดนี้เป็นเคล็ดลับที่นำมาจากจดหมายข่าวชุมชนคนรักสุขภาพ ฉบับสร้างสุข เดือนมกราคม 2552 ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ด้วยหวังว่าจะทำให้อิ่มและไม่อ้วนสวนกระแสเทศกาลกันได้อย่างสบายใจ.

วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

คาดอนาคตซื้อยาบำรุงความจำได้ ตามร้านสะดวกซื้อ

ถ้าหากบางครั้งบางคราว นึกหมายเลขโทรศัพท์เบอร์ใดเบอร์หนึ่งไม่ออก ก็อย่าเพิ่งเป็นทุกข์ไปเลย เพราะอีกหน่อยจะมียาเม็ดบำรุงความจำให้กินกันแล้ว

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ยาเม็ดบำรุงความจำ ซึ่งจะช่วยในการเข้าสอบไล่ และทำให้ผู้คนไม่ลืมวันครบรอบปีที่สำคัญ ๆ ได้ จะต้องมีวางขายตามร้านสะดวกซื้อ ภายในเวลาอีกไม่กี่ปีนี้ โดยที่บริษัทยาหลายแห่ง ได้ตั้งใจจะผลิตเพื่อรักษาคนไข้โรคสมองเสื่อม โดยทำให้ฤทธิ์มันอ่อนลง แล้วนำไปขออนุญาตนำออกจำหน่าย

ที่จริงแล้วบริษัทยายักษ์ โดยการร่วมทุนของหลายชาติ ชื่อบริษัทแอสตรา เซเนกา ร่วมกับบริษัทยาทาร์กาเซปต์ของอเมริกาได้ ผลิตยาบำรุงความจำ เพื่อใช้รักษาผู้ที่สูญเสียความจำ เนื่องจากความแก่ชรา ขึ้นมาขนานหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ


อดีตกรรมการสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ นายสตีเวน เฟอริส ได้เปิดเผยว่า จะมีการอนุญาตให้ขายยาซึ่งมีฤทธิ์อ่อนหน่อยในฐานะยาสามัญตามร้านทั่วไป ในอีกไม่นาน "ผมเห็นว่า ยาแบบนั้น หากสามารถแสดงให้เห็นว่าใช้ได้ผลและปลอดภัย คงจะได้รับอนุญาต และถ้าหากออกขายได้ จะเป็นตลาดใหญ่มหึมาทีเดียว"

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552

ลดน้ำหนักแบบนี้ก็มีด้วย

ก่อนหน้านี้เคยนำเสนอข่าวรายงานการสำรวจความคิดเห็นของสาว ๆ แดนผู้ดี เกี่ยวกับความเกรงกลัวเรื่องปัญหาสุขภาพ

ปรากฏว่าโรคที่สาว ๆ กลัวมากจนนำโด่งมาเลยก็คือ "กลัวอ้วน" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่าจะมีการรณรงค์เรื่องการผอมมากเกินไปเป็นสิ่งไม่ดีนั้น ค่อนข้างที่จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร วันนี้เรามีเรื่องเกี่ยวกับการไดเอ็ตแบบใหม่ที่น่ากลัวมาฝากชาวที่นี่กันด้วย

อันที่จริงแล้ว วิธีการไดเอ็ตวิธีนี้ ก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ สักเท่าไหร่เพราะก็เกิดขึ้นมาได้สักพักแล้ว ซึ่งวิธีการไดเอ็ตที่ว่านี้ มีชื่อว่า "Salmonella Diet" โดยชื่อ Salmonella นี้เป็นการตั้งตามชื่อแบคทรีเรียตัวหลักในอาหารเน่า ๆ เสีย ๆ นั่นเอง ซึ่งคนที่ใช้วิธีการไดเอ็ตแบบนี้จะนิยม ทานอาหารค้างคืนหลาย ๆ วัน หรือทานอาหารที่ไม่ค่อยสุกเท่าไหร่ หรือไม่อย่างนั้นก็จะ ทานอาหารที่เย็นจัด ๆ ราวกับว่าเพิ่งออกมาจากช่องแช่แข็งก็ไม่ปาน

โดยผู้ที่นิยมวิธีการไดเอ็ตเหล่านี้เชื่อว่า เมื่อพวกเขาทานอาหารเช่นนี้เข้าไปแล้ว จะทำให้พวกเธอถ่ายคล่อง (เพราะท้องเสีย) ซึ่งจะทำให้น้ำหนักของพวกเธอหายไปตามที่ต้องการและค่อนข้างได้ผลเร็วทันใจ

แต่ในความเป็นจริง น้ำหนักของคุณนั้นมันไม่ได้หายไปไหนเลย แต่สิ่งที่หายไปนั้นคือ น้ำในร่างกายต่างหาก และอย่างที่ทราบกันดีว่า ในร่างกายของคนเรานั้นกว่า 70 % นั้นคือ น้ำ เมื่อน้ำหายไปย่อมส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรมลงไปด้วย ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่น่ากลัวมาก ๆ เพราะผลกระทบที่ได้ก็คือ คุณจะเสพติดวิธีการไดเอ็ตแบบนี้จนเลิกไม่ได้ (ซึ่งไม่ต่างอะไรกับวิธีล้วงคอให้อ้วก) นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว

ที่เอามาเล่าให้ฟังนั้นก็เพื่อบอกเล่าเก้าสิบให้ฟังกันว่า มันมีวิธีไดเอ็ตแบบนี้อยู่ด้วยนะ แต่เราไม่แนะนำเลย เพราะวิธีนี้อันตรายมาก ๆ เพราะหากคุณรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะแล้ว แทนที่คุณจะได้ลดน้ำหนักตามที่หวัง กลายจะกลายเป็นว่าคุณโดนเชื้อโรคเข้าคุกคามมากกว่า และอาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ด้วย

การภูมิใจในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ ผอมเกินไปก็ใช่ว่าจะดี หากคุณไม่มีความเคารพในตัวเอง ไม่รู้จักภูมิใจในตัวเองแล้ว ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างแบบไหน คุณก็ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากคนอื่นหรอกคะ

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

11 อาหารควรเลี่ยง เมื่อปวดหัว

อาการปวดหัวเป็นอาการที่ฟ้องเราหลายๆ เรื่อง นอกจากการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม ทั้งการนอนให้เพียงพอ และพักผ่อนหย่อนใจไล่ความเครียด การกินอาหารอย่างถูกต้องก็มีส่วนช่วยให้หายเร็วขึ้นได้ วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ จากคุณหมอเดวิด บุชฮอลส์ จากมหาวิทยาลัยจอนห์ฮอปกินส์ ถึงอาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อมีอาการปวดหัวค่ะ

1. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลมบางชนิด

2. ช็อกโกแลต

3. เนยแข็ง

4. โยเกิร์ต และซาวครีม

5. ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ (อัลมอนด์ เม็ดมะม่วง) และเนยถั่ว

6. อาหารผ่านกรรมวิธี เช่น ไส้กรอก ฮอทด็อก เบคอน อาหารกระป๋อง ของหมักดอง

7. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

8. ผงชูรส

9. ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้มต่างๆ มะนาว รวมถึงน้ำผลไม้เหล่านี้

10. ผลไม้อื่นๆ เช่น กล้วย ลูกเกด อะโวคาโด สับปะรด

11. ผักบางชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ถั่วฝักชนิดต่างๆ

หากปวดหัวบ่อยๆ นอกจากปรับอาหารแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการปรับพฤติกรรมให้ไม่เครียดก็จำเป็นค่ะ

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552

เกลือกับปัญหาความดันโลหิตสูง


ถ้าคุณเป็นอีกคนที่ต้องเติมเกลือลงไปในอาหารครั้งละมาก ๆ (ไม่งั้นไม่อร่อย) ละก็...ขอเตือนว่าเกลือนั้นไม่ใช่ของดีเท่าไหร่หรอกนะคะ (ถ้ามากเกินไป)
โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงอยู่ด้วยแล้ว เพราะมีข่าวจากศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อสาธารณชน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มปกป้องผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา บอกไว้ว่าอเมริกันชน กว่า 50 ล้านคน ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงนั้น ได้รับคำแนะนำให้กินอาหารที่มีปริมาณโซเดียมต่ำไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
โดยดร.สตีเฟน ฮาวาส มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ กล่าวถึงกรณีนี้ว่าผู้ที่มีสุขภาพดีไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา แต่ปัจจุบันชาวอเมริกันเองโดยเฉลี่ยบริโภคเกลือกว่า 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดย 3 ใน 4 ส่วนของเกลือมาจากอาหารสำเร็จรูป ดร.สตีเฟน กล่าวว่าเกลือที่มากเกินไปจะทำให้โซเดียมมีปริมาณมาก และโซเดียมในเกลือที่มากเกินไปนี้จะก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย สมองขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ภาวะไตวาย
และสำหรับอาหารไทยนั้น เครื่องปรุงต่าง ๆ เช่น น้ำปลา กะปิ ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว ก็ล้วนปรุงจากเกลือที่มีโซเดียม เป็นส่วนประกอบสำคัญ ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารที่มีรสเค็มจัดจนเกินไป เพราะจะเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงได้ในอนาคต โดยเฉพาะอาหารสำหรับเด็ก ยิ่งไม่ควร ปรุงให้เค็มมาก เพราะไตของเด็กยังทำงานไม่ได้ดีเท่าผู้ใหญ่ จึงไม่ควรปรุงให้รสเข้มข้นเหมือนอาหารผู้ใหญ่ เพราะจะทำให้ไตทำงานหนักเกินไป แต่ก็ยังเหลือโซเดียมในร่างกาย มากเกินไป ทำให้เกิดผลเสียในระยะยาว เป็นโรคความดันโลหิตสูงเมื่ออายุมากขึ้น
ปรุงอาหารคราวหน้าเหยาะเกลือนิดเดียวก็พอค่ะ และถ้าให้ดีไปกว่านั้นควรเป็นเกลือเสริมไอโอดีนด้วยนะคะ

ซดกาแฟมากระวังหลอน



กาแฟ ถือเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มยอดฮิตของเหล่าบรรดาชาวออฟฟิศเลยทีเดียว สังเกตได้ว่า ที่ไหนมีออฟฟิศที่นั่นจะต้องมีร้านกาแฟตั้งอยู่อย่างน้อย ๆ 1 ร้านเป็นอย่างต่ำ

แต่ต่อไปนี้คนไหนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟมาก ๆ จะต้องระวังให้ดี เพราะล่าสุด ...

บีบีซีรายงานว่า เมื่อ 14 ม.ค. งานวิจัยของไซมอน โจนส์ นักศึกษาปริญญาเอก มหาวิทยาลัยเดอร์แฮม อังกฤษ ชี้ว่า การดื่มกาแฟมากเกินไปมีส่วนทำให้ประสาทหลอน มองเห็นผี หรือได้ยินเสียงประหลาด จากการสอบถามนักศึกษา 200 คนเกี่ยวกับการรับคาเฟอีน พบว่า คนที่ดื่มกาแฟเกินวันละ 7 แก้วมีโอกาสประสาทหลอนมากกว่าคนที่ดื่มแก้วเดียว 3 เท่า แต่เป็นอาการที่ไม่เกี่ยวกับโรคทางจิต โดยร้อยละ 3 บอกว่า ได้ยินเสียงแปลก ๆ เป็นปกติ ทั้งนี้ เชื่อว่าเกิดจากเมื่อร่างกายรับคาเฟอีนเข้าไปมาก ๆ จะหลั่งฮอร์โมนคอร์ติโซลจำนวนมากซึ่งอาจเป็นสาเหตุของประสาทหลอน

เพราะฉะนั้นก็ควรดื่มกาแฟในแต่ละวันอย่างพอดี ไม่มากจนเกินไป เพราะไม่เช่นนั้นแทนที่จะเป็นผลดีอาจจะส่งผลร้ายต่อตัวคุณเองได้นะคะ

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

ธัญพืชเพื่อสุขภาพ

ธัญพืชเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรง ผู้บริโภคนิยมผสมในผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม เช่น นม หรือเครื่องดื่มธัญญาหารสำเร็จรูป ดื่มเพื่อบำรุงร่างกาย
ปัจจุบันมีธัญพืช 4 ประเภทที่กำลังฮิตในบ้านเรา อะไรบ้างและมีประโยชน์อย่างไร นิตยสาร "เชป" ฉบับม.ค.นำเสนอดังนี้
ข้าวสาลี
อุดมด้วยสารอาหารมากกว่า 100 ชนิด มีแร่ธาตุหลักๆ ที่ร่างกายต้องการครบถ้วน มี วิตามินกลุ่มบีคอมเพล็กซ์ เป็นแหล่งโปรวิตามินเอสูงที่สุดในบรรดาอาหารต่างๆ ทั้งยังมีวิตามินซี อี และเคในปริมาณมาก
วิตามินและแร่ธาตุสำคัญๆ จะอยู่บริเวณเปลือกข้าวและจมูกข้าว เครื่องดื่มบางชนิดจึงมักผสมจมูกข้าวสาลีเพื่อเพิ่มคุณประโยชน์
นอกจากนี้ต้นกล้าข้าวสาลียังมีคลอโรฟิลล์และออกซิเจนสูง นิยมนำมาคั้นดื่มสดๆ เพื่อล้างพิษในร่างกายกาย
ลูกเดือย
เป็นธัญพืชให้พลังงานสูง และมีโปรตีนคุณภาพสูง ในตำรายาจีนมักใช้ลูกเดือยบดผสมข้าวต้มกินบำรุงกำลัง
ที่สำคัญลูกเดือยยังมีสารอาหารอื่นๆ เช่น วิตามินบี 1 วิตามินเอ โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส แคลเซียม ใยอาหาร และกรดอะมิโน ช่วยให้หลับง่ายขึ้น
ข้าวโอ๊ต
ด้วยใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ ซึ่งทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำเล็กๆ คอยดูดซับอาหารจำพวกน้ำตาล แป้งและไขมันในลำไส้เล็ก และนำพาไปยังระบบขับถ่าย จึงช่วยลดคอเลสเตอรอลในกระแสเลือดและลดความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ
นอกจากนี้ยังมีใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ ช่วยเร่งให้อุจจาระเคลื่อนผ่านลำไส้ใหญ่ได้เร็วขึ้น มีสรรพคุณในการป้องกันและแก้ท้องผูก ทั้งนี้ ใยอาหารทั้งสองชนิดพบในเปลือกหุ้มเมล็ดข้าวโอ๊ต จึงควรกินข้าวโอ๊ตที่ไม่ขัดสี
องค์กรอาหารและยา สหรัฐอเมริกา แนะนำให้กินข้าวโอ๊ตเป็นประจำเพื่อลดคอเลสเตอรอลและความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
งาดำ มีแคลเซียมสูงกว่านมวัวถึง 6 เท่า อุดมด้วยวิตามินบี 1 บี 2 บี 3 บี 5 บี 6 และ บี 9 และวิตามินอีสูง ช่วยบำรุงประสาทการกินงาดำเป็นประจำช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระฉับกระเฉง และกระดูกแข็งแรง
ในงาดำมีไขมัน ซึ่งจัดเป็นไขมันคุณภาพดี มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง ทั้งยังมีโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ป้องกันการแข็งตัวของหลอดเลือด และป้องกันโรคหัวใจ
ในเมล็ดงาดำยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่จำเป็นต่อร่างกายในปริมาณสูง ผู้ที่กินอาหารมังสวิรัติประจำ ควรกินงาดำร่วมกับถั่วเพื่อให้ได้กรดอะมิโนที่จำเป็นอย่างเพียงพอ
วันนี้เรามากินธัญพืชเพื่อสุขภาพกันเถอะ

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิตามินซี

เมื่อพูดถึงวิตามินซี หลายคนคงนึกถึงผลไม้รสเปรี้ยว อย่างเช่น ส้ม มะนาว ฝรั่ง มะขามหวาน มะขามป้อมและอีกมากมาย ขอเพียงแต่เป็นผักผลไม้สดๆ เป็นใช้ได้ หรือบางคนอาจนึกถึงยาเม็ดสีส้ม สีเหลือง ที่มีรสชาติออกเปรี้ยวๆ หวานๆ ไว้กินเวลามีเลือดออกตามไรฟัน ในความเป็นจริงแล้ววิตามินซีมีประโยชน์มากมายกว่านั้น

วิตามินซี มีประวัติการค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่า ทหารเรือออกเดินเรือเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ได้รับประทานผักและผลไม้สด จึงมักป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็นประจำ ต่อมาจึงได้หาสารอาหารที่เป็นต้นเหตุได้ คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbicacid) หรือวิตามินซีนั่นเอง

ประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย นอกเหนือจากที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดทำให้หายเร็วขึ้นถึง 21% คือ

วิตามินซีช่วยปกป้องเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกันสุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็นและคอลลาเจน

วิตามินซีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบ จึงทำให้แผลหายเร็ว วิตามินซีช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดยจะไปช่วยรักษาเซลล์ที่ถูกทำลาย และช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว

วิตามินซีช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยจะไปลดการเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด

วิตามินซีช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก

วิตามินซีช่วยป้องกันไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ Pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น

วิตามินซีช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารในสมอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาทด้วย

วิตามินซีช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว

การรับประทานวิตามินซี ภาวะปรกติปริมาณที่แนะนำให้ทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อสุขภาพที่ดีจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่นิยมรับประทานวิตามินซีไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะสามารถละลายในน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซี แม้รับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000-18,000 มิลลิกรัม

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อพึงระวังในการรับประทานวิตามินซี การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซับแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium อาจมีผลต่อความผิดพลาดของผลการตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้ วิตามินซีทำให้การดูดซึมแร่ธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับแร่ธาตุเหล็กเกิน

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552

ความเชื่อ VS ความจริงของข้อห้ามระหว่างมีรอบเดือน

หลายคนคงจะเคยได้ยินความเชื่อเกี่ยวกับการมีประจำเดือนต่างๆ นานา อาทิเช่น เวลามีประจำเดือนห้ามรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็น หรือห้ามออกกำลังกายเวลาที่ประจำเดือน ซึ่งความเชื่อต่างๆ เหล่านี้อาจจะมีบางความเชื่อที่ถูกและบางความเชื่อที่ผิด วันนี้เราจะมาไขปริศนานี้กันค่ะ

1. ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงที่มีประจำเดือน เป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่อดีต เมื่อเวลาที่มีประจำเดือนนั้น ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการแปรปรวน ภูมิคุ้มกันลดลง การอาบน้ำเย็นจะทำให้ร่างกายต้องปรับอุณหภูมิตาม อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีประจำเดือนนั้นสามารถอาบน้ำเย็นในระดับอุณหภูมิปกติได้

2. ห้ามรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็น บางคนประจำเดือนมาทีไรเป็นต้องหลีกเลี่ยงการกินน้ำแข็งหรือของเย็นทุกที นั่นเป็นเพราะความเชื่อที่มีมาแต่เดิม แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถที่จะรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็นได้ตามปกติ ในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป (แต่ชาวชีวจิตไม่กินของเย็นอยู่แล้วนี่)

. ห้ามออกกำลังกายเวลามีประจำเดือน เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะความจริงแล้วการออกกำลังกายหากออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา สารนี้จะทำให้เราเกิดความสุข ช่วยผ่อนคลายความเครียด และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงเป็นวิธีป้องกันอาการผิดปกติ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการมีประจำเดือนได้

4. ห้ามมีเพศสัมพันธ์ขณะที่มีประจำเดือน สำหรับความเชื่อในเรื่องนี้คงจะไม่ใช่ข้อห้าม แต่ก็ควรจะระมัดระวังในเรื่องความสะอาดให้มากกว่าปกติ เพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นควรที่จะรักษาความสะอาดเป็นพิเศษทั้งผู้หญิงและผู้ชาย

5. ห้ามลงเล่นน้ำ ความเชื่อนี้หลายคนคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะเรื่องความสะอาด เพราะในน้ำนั้นอาจจะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนอยู่ อาจทำให้เชื้อโรคเข้าไปในช่องคลอด ทำให้เกิดการอักเสบได้ ดังนั้นถ้าใครที่อยากจะลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำก็คงจะต้องเลือกสระว่ายน้ำที่สะอาด เลือกช่วงเวลาที่ไม่มีคนใช้บริการมากนัก และก็ควรที่จะใช้ผ้าอนามัยแบบสอดก่อนที่จะลงว่ายน้ำ

ทีนี้ก็หายข้องใจกันเสียทีว่า ความเชื่อไหนที่ทำได้และความเชื่อไหนที่ทำไม่ได้

อากาศเย็นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ


จากการรายงานล่าสุด ของ European Society of Cardiology ระบุว่า สิ่งที่ค้นพบนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไร เพราะอากาศเย็น ก็ทำให้เส้นเลือดหดตัวอยู่แล้ว และเมื่อเส้นเลือดหดตัว ก็ทำให้เลือดไหลผ่านได้ยากขึ้น
แต่การค้นพบครั้งนี้ นับเป็นเอกสารชิ้นแรก ที่รายงานออกมาว่าอากาศที่มีความผันผวน มีความเกี่ยวพันกับโรคหัวใจ ในผู้ป่วยความดันโลหิตสูง การศึกษาครั้งนี้ ได้ใช้เวลา 2 ปี โดยนักวิทยาศาสตร์ จาก University of Burgundy ในฝรั่งเศส ได้ทำการทดลองกับคนไข้ 784 คน ที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลท้องถิ่น ด้วยอาการของโรคหัวใจ และนักวิจัยพบว่า ในสภาพอากาศเย็น จะมีการรับผู้ป่วยเข้ารักษาในโรงพยาบาลมาก และเป็นเช่นนี้ ทุก ๆ ปี ในช่วงเวลาเดียวกัน

ในการศึกษา ยังพบอีกว่า 50% ของผู้ป่วยด้วยโรคหัวใจ เข้ารับการรักษาอาการความดันโลหิตสูงมาก่อน หรือบางครั้งก็มีอาการเกี่ยวกับความดันโลหิตสูงปรากฏออกมา ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว โรคหัวใจ จะพบบ่อย เมื่ออุณหภูมิลดต่ำกว่า 39.2 F

โรคหัวใจ (Heart Attack) มักจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง และเมื่ออุณภูมิลดต่ำลงไปมากกว่า 9 องศา ในวันเดียวกัน ผู้ป่วยเหล่านี้ก็จะมีอาการของโรคหัวใจความดันโลหิตนั้น จะเพิ่มขึ้น เมื่ออากาศเย็นลง เพราะเส้นเลือดหดตัวแคบลง ทำให้เลือดไม่ไปเลี้ยงหัวใจ Dr.David Faxon หัวหน้างาน Cardiology ของ University of Chicago และอดีตประธานของ American Heart Association กล่าวว่า

งานวิจัยนี้ มีความสำคัญ และทำให้มีการตระหนักในเรื่องของอากาศเย็น และความดันโลหิตมากขึ้น พร้อมกล่าวอีกว่า ความกดอากาศ ก็เป็นสิ่งที่มีความสำคัญและเกี่ยวพันกับโรคหัวใจที่อาจจะเกิดกับผู้ที่ความดันโลหิตสูงเช่นกัน แต่การศึกษาในครั้งนี้ ไม่ได้มีการระบุถึงกรณีของผู้ที่มีระดับความดันโลหิตปกติ อย่างไรก็ตาม อากาศ กับความเกี่ยวพันธ์กับโรคหัวใจนั้น ยังไม่ชัดเจนเท่าที่ควร ยังต้องการการศึกษา และเปรียบเทียบทฤษฎีอีกหลายทฤษฎีที่มีอยู่

วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552

3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า

อาหารเช้าสำคัญต่อสมองมากกว่ามื้อ ไหนๆ นักโภชนาการชาวออสเตรเลีย ซึ่งศึกษาวัยรุ่น 800 คน พบว่า การได้รับประทานอาหารมื้อเช้า ที่มีสารอาหารบางประเภทช่วยในเรื่องการทำงานของสมอง โดยพบว่าทำคะแนนในห้องเรียนได้ดีขึ้น และมีสุขภาพจิตดีขึ้นด้วย เห็นแล้วอดไม่ได้ที่จะนำมาบอกต่อ เพราะนอกจากจะดีต่อสุขภาพสมองแล้ว วิธีทำก็แสนง่ายแบบที่ไม่ต้องกวนคุณแม่ และไม่เสียเวลาเตรียมมากนัก มาลองทำกันเลย

สูตรที่ 1 ซีเรียลจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เติมนมเปรี้ยวแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ จากนั้นเติมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน

สูตรที่ 2 โยเกิร์ต แบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ ใส่ข้าวโอ๊ตบดหยาบและผลไม้ต่างๆ ตามชอบ เช่น กีวี แอปเปิ้ล สตรอว์เบอรี่ (ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน) คลุกเคล้าให้เข้ากัน

สูตรที่ 3 แซนด์วิชทูน่า ใช้ขนมปังไม่ขัดขาว เนื้อปลาทูน่า และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศสีแดงสด ส่วนผสมหลักๆ บอกไปแล้วนะคะ ส่วนใครจะมีเคล็ดลับอะไร ก็สามารถเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ อร่อยกันแล้ว อย่าลืมเพิ่มพลังสมองอีกทางด้วยการออกกำลังกายนะคะ

วิธีลดลอยแผลขรุขระบนใบหน้า

ใครที่เป็นแผลขรุขระบนใบหน้า และอยากลดรอยแผล วันนี้มีวิธีมาบอก...
1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น
2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด
3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน
5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน
7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น เพียงเท่านี้ก็ลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าได้แล้ว

5 เหตุผลดีๆ ที่คุณควรออกกำลัง


การออกกำลังทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นในหลายด้าน และหนึ่งในเหตุผลที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือ ผลของมันที่มีต่อรูปลักษณ์ของเรา ใครก็ตามไม่ว่าจะสวยหรือไม่ แค่ไหน ก็สามารถดูดีขึ้นได้อย่างมากด้วยการออกกำลัง และนี่คือผลประโยชน์บางอย่างจากการออกกำลัง

1. ผิวของคุณจะดูดีขึ้น การออกกำลังมีผลในแง่บวกหลายอย่างต่อผิวของเรา มันช่วยเติมสีสันให้พวงแก้ม ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นจากการไหลเวียนโหลิตที่ดีขึ้นมันยังทำให้ผิวของคุณกระชับขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันความหย่อนยานหรือริ้วรอยได้ด้วย

2. ขนาดร่างกายของคุณจะสมส่วน การออกกำลังเป็นประจำจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีส่วนเกินและลดน้ำหนักได้คุณจะค่อยๆ มีขนาดร่างกายที่เหมาะสมกับส่วนสูงและโครงสร้างร่างกายของคุณ มันจะทำให้ความมั่นใจของคุณเพิ่มขึ้น และคุณก็จะดูดีขึ้นตามไปด้วย

3. ผมของคุณจะแข็งแรงกว่าเคย การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้มีการสูบฉีดโลหิตไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งหนังศีรษะด้วย รากผมจะได้รับอาหารจากเลือดที่เต็มไปด้วยออกซิเจน และช่วยกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำลายเส้นผมของคุณ

4. ดวงตาของคุณจะแจ่มใสขึ้น นี่เป็นผลของการไหลเวียนโลหิตที่ดีเช่นกัน มันจะทำให้ดวงตามีความชุ่มขึ้นและแจ่มใสนอกจากนี้ การใช้สายตาจับจ้องไปข้างหน้าตลอดเวลาของการออกกำลัง ทำให้ได้มีการออกกำลังกล้ามเนื้อดวงตา ที่ทำให้มันแข็งแรงขึ้นด้วยเช่นกัน

5. กล้ามเนื้อจะดีขึ้น การออกกำลังแต่ละอย่างจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณกระชับขึ้น ที่จะทำให้คุณดูเพรียวขึ้น เสื้อผ้าจะเข้ากับรูปร่างได้อย่างสวยงาม และคุณก็จะดูฟิตมากขึ้นด้วย

วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552

พริกป่น เสี่ยงต่อสารอะฟลาท็อกซิน ไม่แพ้ ถั่วลิสง

รู้หรือไม่ ถ้าเราเก็บรักษา "พริกป่น" ไม่ดีโดยปล่อยให้มีความชื้น จะส่งผลให้เกิดสารอันตราย "อะฟลาท็อกซิน" ได้ไม่แพ้ "ถั่วลิสง" แล้วพริกป่นสำเร็จรูปที่เราทานกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันล่ะ จะปลอยภัยต่อสุขภาพแค่ไหนกัน

เกิดเป็นไทยกินอาหารอะไรก็ต้องแซ่บไว้ก่อน "พริก" จึงกลายเป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่งที่คนไทยขาดแทบไม่ได้ แถมยังเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ สามารถพัฒนาในระดับอุตสาหกรรมเพื่อผลิตสินค้าหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ยา ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ ยาฆ่าแมลง ส่วนผสมของสายเคเบิ้ล หรือผลิตภัณฑ์แก้ง่วง

พริกป่น เป็นผลิตภัณฑ์หนึ่งซึ่งเป็นที่นิยมไม่แพ้กัน แต่พริกป่นนั้น จำเป็นต้องเก็บไว้ในที่แห้งสนิท เพราะเกิดเชื้อรา ง่าย เมื่อเกิดเชื้อราขึ้นแต่เราบริโภคเข้าไป ก็จะได้รับสารอะฟลาท็อกซิน เป็นของแถม จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า พริกป่นเป็นอาหารที่เสี่ยงต่อการเกินสารอะฟลาท็อกซินได้ง่าย ไม่แพ้ถั่วลิสง ยิ่งในปัจจุบันประเทศไทยนำเข้าพริกป่นจากต่างประเทศมากขึ้น ความเสี่ยงจึงมีมากขึ้นตามไปด้วย เพราะผู้บริโภคขาดข้อมูลแหล่งผลิตสินค้า

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเฝ้าระวัง เราจึงเก็บตัวอย่าง "พริกป่น" ที่บรรจุในซองสำเร็จรูป 2 ยี่ห้อยอดนิยม ได้แก่ "ไร่ทิพย์" และ "ข้าวทอง" พร้อมด้วยพริกป่นบรรจุซองขายในห้างอีก 5 ยี่ห้อ ได้แก่ ตราเจเจ ตราบางช้าง ตรามือที่ 1 ตรานักรบและตราศาลาแม่บ้าน รวมทั้งพริกป่นแบบแบ่งขายใตตลาดสด จากนั้นไปนำส่งห้องทดสอบ สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล เพื่อตรวจหาสารอะฟลาท็อกซิน
ผลการทดสอบ
พบการปนเปื้อนสารอะฟลาท็อกซิน ในพริกป่นเกือบทุกตัวอย่าง แต่ปนเปื้อนในปริมาณไม่มากจนน่าห่วง คือ พบน้อยกว่าที่ อย.กำหนดไว้ที่ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม ทั้งนี้ ตามปกติแล้วเรามักไม่บริโภคพริกป่นในปริมาณมาก เพียงแค่เติมเพื่อชูรสชาติเท่านั้น จึงไม่น่ากังวลต่อการบริโภค

อย่างไรก็ตาม เราไม่ควรประมาท ทางที่ดีที่สุดจึงเป็นการเลือกพริกแห้งมาคั่วพริกป่นทานเอง หากซื้อจากแม่ค้า ก็ควรเลือกซื้อจากเจ้าที่เชื่อถือได้และหมุนเวียนสินค้าไว

คำแนะนำ
1.ควรเก็บพริกป่นในที่แห้งสนิทและใช้ช้อนกลางตักเสมอ

2.ไม่ควรซื้อพริกป่นในปริมาณมาก เพื่อเก็บไว้ทานนานๆ

3.พริกป่นที่ทำเอง จะสะอาดและเผ็ดกว่าที่ทำขาย เราสามารถทำเองได้ง่ายๆ โดยการนำพริกสดไปตากแห้งแล้วคั่วจนหอม จากนั้นให้นำใส่เครื่องปั่นหรือโขลกให้แหลก

4.ควรเลือกซื้อพริกป่นจากแหล่งผลิตที่ได้มาตรฐาน ตรวจสอบวันผลิตทุกครั้ง

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

กินช็อกโกแลต ดื่มชาและเหล้าไวน์ ช่วยบำรุงสติปัญญาได้

ทีมนักวิทยาศาสตร์ของคณะสรีรวิทยา กายวิภาควิทยาและพันธุกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด กล้ารับประกันว่า กินช็อกโกแลต ดื่มชาและเหล้าไวน์ บำรุงสติปัญญาได้จริง เพราะรู้จากผลการศึกษาว่า คนที่กินและดื่มสิ่งที่เป็นอาหารเหล่านี้ จะทำคะแนนเฉลี่ยในการทดสอบได้สูง พวกเขาได้ศึกษาหาความเกี่ยวพันของสมรรถภาพทางสมองกับการบริโภคอาหารสามัญ 3 อย่างนี้ ซึ่งล้วนแต่มีสารฟลาโวนอยด์อย่างอุดม ในหมู่ผู้สูงอายุ วัยระหว่าง 70-74 ปี จำนวน 2,031 คน โดยขอให้กรอกข้อมูลในเรื่องอาหารการกิน และจับทำการทดสอบสมรรถภาพทางสมองรวมกันหลายชุด
ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังมีความสนใจ ในบทบาทของพวกสารอาหารรองที่เกี่ยวพันกับความเสื่อมทางสติปัญญากันมากขึ้น โดยเฉพาะผลไม้ และเครื่องดื่มอย่างชา เหล้าไวน์แดง โกโก้ และกาแฟ ซึ่งต่างเป็นแหล่งอาหารที่มีสารโพลีฟีนอลส์ อันเป็นสารอาหารรองที่มีอยู่ในอาหารที่มาจากพืช อย่างไรก็ตาม รายงานผลการศึกษาซึ่งเสนออยู่ในวารสาร “โภชนาการ” ได้เตือนว่า ไม่ควรดื่มเหล้า ที่มีข่าวว่าช่วยส่งเสริมสติปัญญาได้ และอาจจะมีสรรพคุณลดโอกาสของการเป็นโรคสมองเสื่อม ในช่วงเทศกาลวันหยุดส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่หนักข้อไปนัก เพราะการดื่มมากเกินไปอาจให้โทษ เป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมเสียเองหนึ่งในหลายสาเหตุได้ ทั้งยังก่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมายด้วย

วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

เห็ดฟางอาหารสวรรค์ ของคนความดันสูง


นอกจากเห็ดฟางจะเป็นยอดแห่งอาหารเพื่อสุขภาพแล้ว ยังมีธาตุตัวสำคัญที่จำเป็นต่อร่างกายเราหลายอย่าง ซึ่งหาได้ไม่ง่ายนักในพืชผักชนิดอื่นๆ ที่สำคัญคือไขมันต่ำแคลลอรี่น้อย และไม่มีคลอเรสเตอรอล ไม่ยุ่งยากหรือรำคาญใจ
สำหรับผู้รับประทานแม้แต่นิดเดียวแร่ธาตุตัวเอกๆ ก็มีครบถ้วน ทั้งคาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี1 บี2 และ ซี มีครบหมดแต่ตัวที่เด่นๆ จริงๆ คือ ซีลิเนียมกับโพแทสเซียม อย่างแรกนั้นเป็นสารต้านมะเร็ง ส่วนอย่างหลังนั้นช่วยลดความดันโลหิตได้อย่างยอดเยี่ยม นอกจากนั้นยังมีโปรตีนสูงและกรดอะมิโนต่างๆ ที่ร่างกายมนุษย์เราทุกคนต้องการในปริมาณที่มากพอสมควร
ประโยชน์ทางยาของเห็ดฟาง นอกจากจะมีสารป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งอย่างที่บอกไว้แล้ว ยังช่วยต้านไวรัสและแก้ไข้หวัดได้ด้วย ทางแพทย์แผนโบราณยังจัดให้เป็นเภสัชวัตถุที่มีรสหวานเย็น ช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยย่อยอาหาร บำรุงโลหิต บำรุงกำลัง บำรุงตับ แก้ร้อนใน แก้ช้ำใน และที่เด็ดๆ จริงๆ ก็คือ ช่วยลดคลอเรสเตอรอลในเลือดได้
ของดี ราคาถูก มากด้วยประโยชน์อย่างนี้ ใครที่ยังไม่ชอบเห็ดฟาง ต้องยอมเปลี่ยนใจดู

วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552

กินดีกว่าดื่ม

พวกเราอาจนึกว่าเครื่องดูดื่ม "เบา" กว่าการกินอาหาร แต่ความจริงแล้วการกินเพิ่มกลับทำให้น้ำหนักคุณขึ้นได้น้อยกว่าการดื่มเพิ่มขึ้น
ในงานวิจัยครั้งหนึ่ง นักวิจัยขอให้คน 15 คน ดื่มเพิ่มขึ้นอีก 450 แคลอรี่ต่อวัน (ประมาณยินโทนิกสองแก้ว) พวกเขาจะน้ำหนักขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาบริโภคแคลอรี่ในประมาณเท่ากันจากอาหาร พวกเขากลับน้ำหนักไม่ขึ้น นั่นเพระพวกเขาจะชดเชยการกินที่เพิ่มด้วยการกินน้อยลงตลอดทั้งวัน แต่ถ้าพวกเขาจะไม่ชดเชยแบบเดียวกันถ้าดื่มเพิ่มขึ้น จึงได้แคลอรี่เพิ่มมาแบบเต็มๆ

วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552

ไร้พุงด้วยการยกน้ำหนัก


การยกน้ำหนักเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการยับยั้งไม่ให้รอบเอวของคุณขยายขึ้น เมื่อคุณอายุมากขึ้น การศึกษาที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนียรายงานเช่นนั้น ผู้หญิงที่น้ำหนักเกินวัย 25 ถึง 44 ปี ที่ยกน้ำหนักสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ลดไขมันในร่างกายลงได้ 4% ในช่วงเวลา 2 ปี และหลีกเลี่ยงการสะสมไขมันที่หน้าท้องได้มากกว่าคนที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกายถึง 66% โดยไม่ต้องออกกำลังกายหรืออดอาหารเพิ่มเติมเลย ไขมันหน้าท้องที่น้อยกว่าไม่ได้หมายถึงเพียงแต่หน้าท้องที่แบนราบ แต่ยังลดความเสี่ยงของคุณในการเป็นโรคหัวใจด้วย ฉะนั้น เพื่อเสริมทั้งเรือนร่างและสุขภาพ ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอควบคู่ไปกับการยกน้ำหนัก

วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552

ลดระดับโคเลสเตอรอลด้วยอาหาร


การรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการเป็นรากฐานสำคัญของการป้องกัน และรักษาภาวะโคเลสเตอรอลสูงในเลือด ดังนั้นทุกท่านควรเข้าใจถึงแนวทางในการบริโภคอาหารอย่างถูกต้อง เพื่อควบคุมระดับโคเลสเตอรอลในเลือด และต้องมีความตั้งใจจริงที่จะปฏิบัติให้ได้ในชีวิตประจำวัน เพื่อสุขภาพที่แข็งแรง หลีกเลี่ยงโรคร้ายต่าง ๆ ซึ่งมีภาวะโคเลสเตอรอลสูงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ เช่น โรคหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหัวใจขาดเลือด
หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับโคเลสเตอรอลสูงในเลือด
รับประทานโคเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม โคเลสเตอรอลมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้นมีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก
รับประทานอาหารในแต่ละวันซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยผู้ใหญ่ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5) 2 = 22.2 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมาก ๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น
รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) โดยสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด
การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิกประมาณร้อยละ 7-10 ของพลังงานที่ได้รับ (เช่น วันหนึ่งต้องการพลังงาน 2,000 กิโลแคลอรี่ ควรได้กรดไลโนเลอิกประมาณ 16-22 กรัม ซึ่งได้จากน้ำมันถั่วเหลืองประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ) จะช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดได้ เพราะมีการเปลี่ยนโคเลสเตอรอลอิสระ เป็นโคเลสเตอรอลไลโนเลอิกเพิ่มขึ้น ทำให้มีการเผาผลาญโคเลสเตอรอลที่ตับเพิ่มขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีโคเลสเตอรอลสูงในเลือดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด ท่านต้องรับประทานยาลดโคเลสเตอรอล และรักษาโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุให้มีโคเลสเตอรอลสูงในเลือดควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง โภชนบำบัดจะช่วยเสริมผลการรักษาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และลดปริมาณการรับประทานยาลงได้

วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552

สเต็กสูตรปลอดโรคมะเร็ง ต้องหมักเนื้อกับเบียร์ หรือเหล้าไวน์ก่อน


นิตยสารข่าววิทยาศาสตร์ “นิว ไซเอนทิสต์” อันมีชื่อเสียง รายงานว่า นักวิจัยได้แนะให้หมักเนื้อที่จะทำสเต็กกับเหล้าไวน์แดงหรือเบียร์ จะช่วยลดสารก่อมะเร็งที่จะเกิดขึ้น เมื่อทอดหรือปิ้งย่างลงได้
ปกติเนื้อที่ทอดหรือปิ้งย่าง จะเกิดสาร ประกอบเฮอเทอโรไซคลิคซึ่งก่อมะเร็ง เกิดขึ้นเป็นปริมาณสูง
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยปอร์โตแห่งสเปน ได้รายงานผลการค้นพบในวารสาร “เคมีเกษตรและอาหาร” ว่า หากเอาเนื้อไปหมักกับเหล้าเสียก่อนหน้า นานสัก 6 ชม. จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสารนั้นได้ถึงร้อยละ 90 ถ้าหากหมักกับเบียร์อย่างเดียว นานแค่ 4 ชม. ก็พอ
นักวิจัยเชื่อว่าน้ำตาลที่อมน้ำอยู่ในเบียร์และเหล้าไวน์ อาจจะเป็นตัวการ โดยมันอาจจะป้องกันไม่ให้โมเลกุลที่ละลายน้ำได้ในเนื้อ โผล่ออกมาที่ผิวพื้น ซึ่งเมื่อโดนความร้อนสูง มันจะกลายเป็น สารประกอบเฮอเทอโรไซคลิคได้
พวกเขายังได้บอกว่า ผู้ที่เคยลองชิมสเต็กสูตรนี้ต่างติดใจในกลิ่น รสชาติ และหน้าตาของมันไปตามๆกัน

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

5 เคล็ดลับกินผักผลไม้ให้มากขึ้น

ผัก ผลไม้คือสุดยอดอาหารสุขภาพ เชื่อไหมคะว่า พืชชนิดเดียวอาจประกอบด้วยสารอาหารที่เรียกว่าพฤกษเคมีหรือไฟโตเคมิคัล (phytochemical) หลายร้อยชนิดที่ช่วยเราต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บ

วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่จะทำให้รับประทานผักผลไม้ได้มากขึ้นค่ะ

กินผลไม้หลังอาหารมื้อเช้าทุกวัน ฝึกรับประทานผลไม้หลังอาหารมือเช้าให้เป็นนิสัย เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากสารอาหารแล้ว ยังช่วยเติมความสดชื่นสดใสได้ตลอดวันค่ะ

พยายามกินผักเพิ่มเป็น 2 เท่าทุกมื้อ แล้วลดอาหารประเภทแป้งหรือไขมันลง เมื่อทำ จนเป็นนิสัยก็สามารถกินผักได้มากขึ้นโดยอัตโนมัติ

ใส่ผักผลไม้ลงไปในส่วนผสมหนึ่งของอาหาร อาหารหลายชนิดสามารถใส่ผักหรือ ผลไม้หลายอย่าง ลองดัดแปลงทำดู ก็จะได้อาหารจานอร่อยที่มีคุณค่าอาหารสูง

ลองผักผลไม้ใหม่ๆ ลองรับประทานผักและผลไม้ชนิดใหม่ที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน รสชาติที่แปลกใหม่จะช่วยให้อยากรับประทานและมีตัวเลือกมากขึ้น

กินสแน็คผลไม้ สแน็คผัก ผลไม้ ไทยๆ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราได้รับคุณค่าจากผัก ผลไม้มากขึ้น ที่สำคัญ ไม่ทำให้อ้วนด้วยนะคะ

เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้ว สาว ๆ ก็หันมากินผักเยอะ ๆ นะคะ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรง...