วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552
น่ารู้ เรื่องยาเลื่อนประจำเดือน
ดังนั้นหลายคนจึงต้องวางแผน ด้วยการไปซื้อ "ยาเลื่อนประจำเดือน" มากินล่วงหน้า แต่อย่างว่าคนไม่เคยใช้ ก็ย่อมวิตกกังวลเป็นธรรมดา ว่าจะมีผลข้างเคียงอะไรตามมาหรือเปล่า
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ศ.นพ.อภิชาติ จิตต์เจริญ ภาควิชาสูติศาสตร์ - นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยา ลัยมหิดล บอกว่า ยาเลื่อนประจำเดือน ถ้ามีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนอย่างเดียว เรียกว่า "แบบเดี่ยว" แต่ถ้าเป็น “แบบผสม” จะมีทั้งโปร เจสโตเจนและเอสโตเจนรวมกัน ซึ่ง "แบบผสม" อาจมีผลข้างเคียงมากกว่า โดยทั่วไปที่ใช้กันอยู่จึงเป็นชนิดที่มีฮอร์โมนโปรเจสโตเจนตัวเดียว
ปกติการใช้ยาเลื่อนประจำเดือนจะไม่ใช้กันพร่ำเพรื่อ จะใช้ลักษณะชั่วครั้งชั่วคราว ในกรณีที่จำเป็นจริง ๆ เช่น ต้องเดินทางไปท่องเที่ยว หรือทำกิจกรรมสำคัญ ๆ โดยต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
วิธีการใช้ จะต้องกินยาล่วงหน้าอย่างน้อย 4-5 วัน หรือ 1 สัปดาห์
เพราะถ้าไปกินในช่วงวันใกล้มีประจำเดือนอาจจะไม่ได้ผล กินยาวันละ 2 เม็ด ตอนเช้าและตอนเย็น ติดต่อกันในขนาดที่กำหนด แต่ไม่ควรเกิน 10-14 วัน เพราะการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้มีเลือดออกกะปริบกะปรอย และรอบเดือนมาผิดปกติได้ เมื่อหยุดยาแล้ว ประจำเดือนจะไม่มาทันที อีกประมาณ 2-3 วันต่อจากนั้น ประจำเดือนจึงจะมาตามปกติ
สำหรับผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการกินยาเลื่อนประจำเดือน เช่น
บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ เป็นบางเวลา หรือ อาจมีเลือดออกกะปริบกะปรอย ส่วนผลข้างเคียงอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรน่ากลัว ถือว่ามีความปลอดภัย บางคนที่เคยกินยาเลื่อนประจำเดือนบอกว่า ผลข้างเคียงของยาทำให้รอบเดือนแปรปรวน ?
ศ.นพ.อภิชาติ กล่าวว่า ก็อาจเกิดขึ้นได้ จากระดับฮอร์โมนที่ร่างกายได้รับเข้าไป ด้วยเหตุนี้จึงไม่แนะนำให้ใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน
นอกจากยาเลื่อนประจำเดือนออกไปแล้ว มียาเลื่อนประจำเดือนให้เร็วขึ้นหรือไม่ ? ศ.นพ.อภิชาติ กล่าวว่า ก็มี แต่การเลื่อนเข้ามาจะยากกว่า ส่วนใหญ่จะไม่ทำกัน โดยมากจะเลื่อนประจำเดือนออกไปมากกว่า โดยในการเลื่อนประจำเดือนเข้ามานั้น จะให้กินยาเม็ดคุมกำเนิด พอหยุดยา เลือดก็จะออกมา
วันอาทิตย์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2552
อิ่มไม่อ้วน สวนกระแสเทศกาล
เพิ่งจะเลี้ยงฉลองปีใหม่ ผ่านไป เผลอแป๊บเดียว อ้าว! ตรุษจีนมาเยือนอีกแล้ว ทั้งสองเทศกาลต่างก็นำพาความสุขมาสู่หมู่ชน โดยเฉพาะคนชอบชิม ชอบกินอาหารอร่อยเลิศรสต่างก็อดใจไม่ไหว แม้ในใจอาจจะกังวลอยู่นิดๆ ว่ากินมากไปแล้วจะอ้วน
วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552
คาดอนาคตซื้อยาบำรุงความจำได้ ตามร้านสะดวกซื้อ
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า ยาเม็ดบำรุงความจำ ซึ่งจะช่วยในการเข้าสอบไล่ และทำให้ผู้คนไม่ลืมวันครบรอบปีที่สำคัญ ๆ ได้ จะต้องมีวางขายตามร้านสะดวกซื้อ ภายในเวลาอีกไม่กี่ปีนี้ โดยที่บริษัทยาหลายแห่ง ได้ตั้งใจจะผลิตเพื่อรักษาคนไข้โรคสมองเสื่อม โดยทำให้ฤทธิ์มันอ่อนลง แล้วนำไปขออนุญาตนำออกจำหน่าย
ที่จริงแล้วบริษัทยายักษ์ โดยการร่วมทุนของหลายชาติ ชื่อบริษัทแอสตรา เซเนกา ร่วมกับบริษัทยาทาร์กาเซปต์ของอเมริกาได้ ผลิตยาบำรุงความจำ เพื่อใช้รักษาผู้ที่สูญเสียความจำ เนื่องจากความแก่ชรา ขึ้นมาขนานหนึ่งแล้วด้วยซ้ำ
อดีตกรรมการสำนักงานอาหารและยาสหรัฐฯ นายสตีเวน เฟอริส ได้เปิดเผยว่า จะมีการอนุญาตให้ขายยาซึ่งมีฤทธิ์อ่อนหน่อยในฐานะยาสามัญตามร้านทั่วไป ในอีกไม่นาน "ผมเห็นว่า ยาแบบนั้น หากสามารถแสดงให้เห็นว่าใช้ได้ผลและปลอดภัย คงจะได้รับอนุญาต และถ้าหากออกขายได้ จะเป็นตลาดใหญ่มหึมาทีเดียว"
วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552
ลดน้ำหนักแบบนี้ก็มีด้วย
ปรากฏว่าโรคที่สาว ๆ กลัวมากจนนำโด่งมาเลยก็คือ "กลัวอ้วน" ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า แม้ว่าจะมีการรณรงค์เรื่องการผอมมากเกินไปเป็นสิ่งไม่ดีนั้น ค่อนข้างที่จะไม่ได้ผลเท่าที่ควร วันนี้เรามีเรื่องเกี่ยวกับการไดเอ็ตแบบใหม่ที่น่ากลัวมาฝากชาวที่นี่กันด้วย
อันที่จริงแล้ว วิธีการไดเอ็ตวิธีนี้ ก็ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ร้อน ๆ สักเท่าไหร่เพราะก็เกิดขึ้นมาได้สักพักแล้ว ซึ่งวิธีการไดเอ็ตที่ว่านี้ มีชื่อว่า "Salmonella Diet" โดยชื่อ Salmonella นี้เป็นการตั้งตามชื่อแบคทรีเรียตัวหลักในอาหารเน่า ๆ เสีย ๆ นั่นเอง ซึ่งคนที่ใช้วิธีการไดเอ็ตแบบนี้จะนิยม ทานอาหารค้างคืนหลาย ๆ วัน หรือทานอาหารที่ไม่ค่อยสุกเท่าไหร่ หรือไม่อย่างนั้นก็จะ ทานอาหารที่เย็นจัด ๆ ราวกับว่าเพิ่งออกมาจากช่องแช่แข็งก็ไม่ปาน
โดยผู้ที่นิยมวิธีการไดเอ็ตเหล่านี้เชื่อว่า เมื่อพวกเขาทานอาหารเช่นนี้เข้าไปแล้ว จะทำให้พวกเธอถ่ายคล่อง (เพราะท้องเสีย) ซึ่งจะทำให้น้ำหนักของพวกเธอหายไปตามที่ต้องการและค่อนข้างได้ผลเร็วทันใจ
แต่ในความเป็นจริง น้ำหนักของคุณนั้นมันไม่ได้หายไปไหนเลย แต่สิ่งที่หายไปนั้นคือ น้ำในร่างกายต่างหาก และอย่างที่ทราบกันดีว่า ในร่างกายของคนเรานั้นกว่า 70 % นั้นคือ น้ำ เมื่อน้ำหายไปย่อมส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรมลงไปด้วย ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่น่ากลัวมาก ๆ เพราะผลกระทบที่ได้ก็คือ คุณจะเสพติดวิธีการไดเอ็ตแบบนี้จนเลิกไม่ได้ (ซึ่งไม่ต่างอะไรกับวิธีล้วงคอให้อ้วก) นอกจากนี้ยังอาจจะทำให้เกิดอันตรายจนถึงแก่ชีวิตได้เลยทีเดียว
ที่เอามาเล่าให้ฟังนั้นก็เพื่อบอกเล่าเก้าสิบให้ฟังกันว่า มันมีวิธีไดเอ็ตแบบนี้อยู่ด้วยนะ แต่เราไม่แนะนำเลย เพราะวิธีนี้อันตรายมาก ๆ เพราะหากคุณรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะแล้ว แทนที่คุณจะได้ลดน้ำหนักตามที่หวัง กลายจะกลายเป็นว่าคุณโดนเชื้อโรคเข้าคุกคามมากกว่า และอาจจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ด้วย
การภูมิใจในตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ ผอมเกินไปก็ใช่ว่าจะดี หากคุณไม่มีความเคารพในตัวเอง ไม่รู้จักภูมิใจในตัวเองแล้ว ไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างแบบไหน คุณก็ไม่มีทางได้รับการยอมรับจากคนอื่นหรอกคะ
วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552
11 อาหารควรเลี่ยง เมื่อปวดหัว
1. เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลมบางชนิด
2. ช็อกโกแลต
3. เนยแข็ง
4. โยเกิร์ต และซาวครีม
5. ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ (อัลมอนด์ เม็ดมะม่วง) และเนยถั่ว
6. อาหารผ่านกรรมวิธี เช่น ไส้กรอก ฮอทด็อก เบคอน อาหารกระป๋อง ของหมักดอง
7. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
8. ผงชูรส
9. ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้มต่างๆ มะนาว รวมถึงน้ำผลไม้เหล่านี้
10. ผลไม้อื่นๆ เช่น กล้วย ลูกเกด อะโวคาโด สับปะรด
11. ผักบางชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ถั่วฝักชนิดต่างๆ
หากปวดหัวบ่อยๆ นอกจากปรับอาหารแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการปรับพฤติกรรมให้ไม่เครียดก็จำเป็นค่ะ
วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552
เกลือกับปัญหาความดันโลหิตสูง
ถ้าคุณเป็นอีกคนที่ต้องเติมเกลือลงไปในอาหารครั้งละมาก ๆ (ไม่งั้นไม่อร่อย) ละก็...ขอเตือนว่าเกลือนั้นไม่ใช่ของดีเท่าไหร่หรอกนะคะ (ถ้ามากเกินไป)
โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงอยู่ด้วยแล้ว เพราะมีข่าวจากศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อสาธารณชน ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มปกป้องผู้บริโภคของสหรัฐอเมริกา บอกไว้ว่าอเมริกันชน กว่า 50 ล้านคน ที่มีปัญหาความดันโลหิตสูงนั้น ได้รับคำแนะนำให้กินอาหารที่มีปริมาณโซเดียมต่ำไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน
โดยดร.สตีเฟน ฮาวาส มหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ กล่าวถึงกรณีนี้ว่าผู้ที่มีสุขภาพดีไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือ 1 ช้อนชา แต่ปัจจุบันชาวอเมริกันเองโดยเฉลี่ยบริโภคเกลือกว่า 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดย 3 ใน 4 ส่วนของเกลือมาจากอาหารสำเร็จรูป ดร.สตีเฟน กล่าวว่าเกลือที่มากเกินไปจะทำให้โซเดียมมีปริมาณมาก และโซเดียมในเกลือที่มากเกินไปนี้จะก่อให้เกิดความดันโลหิตสูง มีผลต่อหัวใจและเส้นเลือดทั่วร่างกาย ซึ่งก่อให้เกิดภาวะหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย สมองขาดเลือด อัมพฤกษ์ อัมพาต ภาวะไตวาย
และสำหรับอาหารไทยนั้น เครื่องปรุงต่าง ๆ เช่น น้ำปลา กะปิ ซีอิ๊ว เต้าเจี้ยว ก็ล้วนปรุงจากเกลือที่มีโซเดียม เป็นส่วนประกอบสำคัญ ดังนั้นจึงไม่ควรกินอาหารที่มีรสเค็มจัดจนเกินไป เพราะจะเป็นสาเหตุของโรคความดันโลหิตสูงได้ในอนาคต โดยเฉพาะอาหารสำหรับเด็ก ยิ่งไม่ควร ปรุงให้เค็มมาก เพราะไตของเด็กยังทำงานไม่ได้ดีเท่าผู้ใหญ่ จึงไม่ควรปรุงให้รสเข้มข้นเหมือนอาหารผู้ใหญ่ เพราะจะทำให้ไตทำงานหนักเกินไป แต่ก็ยังเหลือโซเดียมในร่างกาย มากเกินไป ทำให้เกิดผลเสียในระยะยาว เป็นโรคความดันโลหิตสูงเมื่ออายุมากขึ้น
ปรุงอาหารคราวหน้าเหยาะเกลือนิดเดียวก็พอค่ะ และถ้าให้ดีไปกว่านั้นควรเป็นเกลือเสริมไอโอดีนด้วยนะคะ
ซดกาแฟมากระวังหลอน
แต่ต่อไปนี้คนไหนที่ชื่นชอบการดื่มกาแฟมาก ๆ จะต้องระวังให้ดี เพราะล่าสุด ...
วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552
ธัญพืชเพื่อสุขภาพ
วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552
เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับวิตามินซี
วิตามินซี มีประวัติการค้นพบตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 มีการสังเกตว่า ทหารเรือออกเดินเรือเป็นระยะเวลานานๆ ไม่ได้รับประทานผักและผลไม้สด จึงมักป่วยเป็นโรคลักปิดลักเปิด และสุขภาพไม่ค่อยดี แต่ก็มีคนสังเกตเห็นว่าไม่พบอาการดังกล่าวในทหารเรือที่รับประทานมะนาวเป็นประจำ ต่อมาจึงได้หาสารอาหารที่เป็นต้นเหตุได้ คือ กรดแอสคอร์บิก (Ascorbicacid) หรือวิตามินซีนั่นเอง
ประโยชน์ของวิตามินซีมีมากมาย นอกเหนือจากที่จะช่วยบรรเทาอาการของโรคหวัดทำให้หายเร็วขึ้นถึง 21% คือ
วิตามินซีช่วยปกป้องเซลล์ เสริมภูมิคุ้มกันสุขภาพและความแข็งแรงของเนื้อเยื่อในร่างกายที่เกี่ยวข้องกับเส้นเอ็นและคอลลาเจน
วิตามินซีช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น เนื่องจากช่วยให้ร่างกายซ่อมแซมและรักษาตัวเอง โดยการไปเสริมสร้างผนังเซลล์ ทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงและต่อต้านการอักเสบ จึงทำให้แผลหายเร็ว วิตามินซีช่วยให้เหงือกมีสุขภาพแข็งแรง โดยจะไปช่วยรักษาเซลล์ที่ถูกทำลาย และช่วยให้แผลที่เหงือกหายเร็ว
วิตามินซีช่วยเพิ่มความต้านทานต่อโรคหัวใจ โดยการไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการควบคุมระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรับประทานร่วมกับวิตามินอี โดยจะไปลดการเกาะของไขมันที่ผนังหลอดเลือด
วิตามินซีช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก เนื่องจากวิตามินซีสามารถช่วยปกป้องเลนส์ตาจากอันตรายต่างๆ เช่น ควันบุหรี่ แสงอัลตราไวโอเลต ที่เป็นสิ่งกระตุ้นให้เกิดโรคต้อกระจก
วิตามินซีช่วยป้องกันไมเกรน เมื่อรับประทานร่วมกับ Pantothenic acid โดยวิตามินซีจะไปช่วยร่างกายในการต่อสู้กับความเครียดได้ดีขึ้น
วิตามินซีช่วยลดความเครียด และยังเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนกรดอะมิโนให้กลายเป็นสารในสมอง ซึ่งมีความจำเป็นต่อสมองและหน้าที่ของระบบประสาทด้วย
วิตามินซีช่วยเพิ่มความแข็งแรงของภูมิต้านทานโรค โดยเฉพาะประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาว
การรับประทานวิตามินซี ภาวะปรกติปริมาณที่แนะนำให้ทานคือ 60 มิลลิกรัมต่อวัน อย่างไรก็ตาม เพื่อสุขภาพที่ดีจะต้องรับประทานอย่างน้อย 100-200 มิลลิกรัมต่อวัน คนที่มีความเครียดควรรับประทานวันละ 500 มิลลิกรัมต่อวัน ผู้ที่นิยมรับประทานวิตามินซีไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับในปริมาณที่มากเกินไป เพราะสามารถละลายในน้ำได้ดี หากร่างกายไม่ได้ใช้ก็จะมีการขับออกมาได้ทางปัสสาวะ อีกทั้งยังไม่มีการรายงานเกี่ยวกับพิษที่เกิดจากการรับประทานวิตามินซี แม้รับประทานในปริมาณที่สูงกว่า 6,000-18,000 มิลลิกรัม
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ยังมีข้อพึงระวังในการรับประทานวิตามินซี การรับประทานในปริมาณสูงๆ อาจจะมีผลต่อการดูดซับแร่ธาตุอื่นๆ เช่น Copper Selenium อาจมีผลต่อความผิดพลาดของผลการตรวจระดับน้ำตาลในปัสสาวะได้ วิตามินซีทำให้การดูดซึมแร่ธาตุเหล็กได้ดี จึงอาจจะเกิดภาวะได้รับแร่ธาตุเหล็กเกิน
วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552
ความเชื่อ VS ความจริงของข้อห้ามระหว่างมีรอบเดือน
1. ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงที่มีประจำเดือน เป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่อดีต เมื่อเวลาที่มีประจำเดือนนั้น ฮอร์โมนในร่างกายจะมีการแปรปรวน ภูมิคุ้มกันลดลง การอาบน้ำเย็นจะทำให้ร่างกายต้องปรับอุณหภูมิตาม อาจทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วผู้ที่มีประจำเดือนนั้นสามารถอาบน้ำเย็นในระดับอุณหภูมิปกติได้
2. ห้ามรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็น บางคนประจำเดือนมาทีไรเป็นต้องหลีกเลี่ยงการกินน้ำแข็งหรือของเย็นทุกที นั่นเป็นเพราะความเชื่อที่มีมาแต่เดิม แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถที่จะรับประทานน้ำแข็งหรือของเย็นได้ตามปกติ ในปริมาณที่ไม่มากจนเกินไป (แต่ชาวชีวจิตไม่กินของเย็นอยู่แล้วนี่)
. ห้ามออกกำลังกายเวลามีประจำเดือน เป็นความเชื่อที่ผิด เพราะความจริงแล้วการออกกำลังกายหากออกกำลังกายเป็นประจำ ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินออกมา สารนี้จะทำให้เราเกิดความสุข ช่วยผ่อนคลายความเครียด และช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ดังนั้นการออกกำลังกายจึงเป็นวิธีป้องกันอาการผิดปกติ ที่เกิดขึ้นในระหว่างการมีประจำเดือนได้
4. ห้ามมีเพศสัมพันธ์ขณะที่มีประจำเดือน สำหรับความเชื่อในเรื่องนี้คงจะไม่ใช่ข้อห้าม แต่ก็ควรจะระมัดระวังในเรื่องความสะอาดให้มากกว่าปกติ เพราะอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้นควรที่จะรักษาความสะอาดเป็นพิเศษทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
5. ห้ามลงเล่นน้ำ ความเชื่อนี้หลายคนคงจะเคยได้ยินมาบ้างแล้ว ที่เป็นเช่นนี้คงเป็นเพราะเรื่องความสะอาด เพราะในน้ำนั้นอาจจะมีสิ่งสกปรกปนเปื้อนอยู่ อาจทำให้เชื้อโรคเข้าไปในช่องคลอด ทำให้เกิดการอักเสบได้ ดังนั้นถ้าใครที่อยากจะลงเล่นน้ำในสระว่ายน้ำก็คงจะต้องเลือกสระว่ายน้ำที่สะอาด เลือกช่วงเวลาที่ไม่มีคนใช้บริการมากนัก และก็ควรที่จะใช้ผ้าอนามัยแบบสอดก่อนที่จะลงว่ายน้ำ
ทีนี้ก็หายข้องใจกันเสียทีว่า ความเชื่อไหนที่ทำได้และความเชื่อไหนที่ทำไม่ได้
อากาศเย็นเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552
3 Fast Food เพิ่มพลังสมองยามเช้า
สูตรที่ 1 ซีเรียลจากธัญพืชที่ไม่ขัดสี เติมนมเปรี้ยวแบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ จากนั้นเติมกล้วยหอมหั่นเป็นชิ้นลงไป คลุกเคล้าให้เข้ากัน
สูตรที่ 2 โยเกิร์ต แบบไม่มีไขมันหรือไขมันต่ำ ใส่ข้าวโอ๊ตบดหยาบและผลไม้ต่างๆ ตามชอบ เช่น กีวี แอปเปิ้ล สตรอว์เบอรี่ (ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีรสหวาน) คลุกเคล้าให้เข้ากัน
สูตรที่ 3 แซนด์วิชทูน่า ใช้ขนมปังไม่ขัดขาว เนื้อปลาทูน่า และที่ขาดไม่ได้คือมะเขือเทศสีแดงสด ส่วนผสมหลักๆ บอกไปแล้วนะคะ ส่วนใครจะมีเคล็ดลับอะไร ก็สามารถเพิ่มเติมได้ตามใจชอบ อร่อยกันแล้ว อย่าลืมเพิ่มพลังสมองอีกทางด้วยการออกกำลังกายนะคะ
วิธีลดลอยแผลขรุขระบนใบหน้า
1. การใช้ยาทา แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาทา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก หรือใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ ยาที่ใช้มักเป็นยาในกลุ่มวิตามิน A โดยตัวยาจะไปกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ ทำให้รอยแผลตื้นขึ้น
2. การจี้ด้วยน้ำยา TCA เพื่อกระตุ้นในรอยแผลมีการสร้างเซลล์ หลังการจี้จะเกิดสะเก็ดดำๆ อยู่ประมาณสัปดาห์ แล้วจึงหลุดไปเอง แต่ว่าห้ามแกะเด็ดขาด
3. การรักษาด้วย ไอออนโต (IONTO) เป็นการใช้กระแสไฟฟ้าขับตัวยา ซึ่งนิยมใช้ คือกลุ่มวิตามิน A เข้าไปในผิวหนัง เพื่อกระตุ้นการสร้างใยคอลลาเจนในชั้นหนังแท้ เพื่อให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
4. การรักษาด้วย โฟโน (PHONO) เป็นการใช้คลื่นเสียงขับยาเข้าไปในผิวหนัง โดยใช้ยาในกลุ่มวิตามิน A บำรุงและสร้างใยคอลลาเจน
5. การรักษาด้วยวิธี MD (MICRODERMABRASION) เป็นการผลัดผิวใหม่โดยใช้เครื่องมือพ่นผงคริสตัลลงไปยังผิวหน้า เพื่อขัดผิว ส่วนคราบไคล และหนังกำพร้าชั้นบนออกไป แล้วจึงใช้ตัวยาเร่งการสร้างเซลล์ใหม่ ขึ้นมาทดแทน ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น
6. การรักษาด้วยวิธีการกรอแผลโดยใช้เครื่องเลเซอร์ ช่วยให้รอยบุ๋มตื้นขึ้น แต่ต้องใช้เวลาในการรักษาแผลค่อยข้างนาน
7. การฉีดสารสังเคราะห์โดยแพทย์ จะฉีดสารสังเคราะห์ เช่น อาติคอล หรือสาร HA เข้าไปในรอยแผล เพื่อให้รอยแผลเต็มขึ้น เพียงเท่านี้ก็ลดรอยแผลขรุขระบนใบหน้าได้แล้ว
5 เหตุผลดีๆ ที่คุณควรออกกำลัง
วันเสาร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2552
พริกป่น เสี่ยงต่อสารอะฟลาท็อกซิน ไม่แพ้ ถั่วลิสง
วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552
กินช็อกโกแลต ดื่มชาและเหล้าไวน์ ช่วยบำรุงสติปัญญาได้
ขณะนี้นักวิทยาศาสตร์กำลังมีความสนใจ ในบทบาทของพวกสารอาหารรองที่เกี่ยวพันกับความเสื่อมทางสติปัญญากันมากขึ้น โดยเฉพาะผลไม้ และเครื่องดื่มอย่างชา เหล้าไวน์แดง โกโก้ และกาแฟ ซึ่งต่างเป็นแหล่งอาหารที่มีสารโพลีฟีนอลส์ อันเป็นสารอาหารรองที่มีอยู่ในอาหารที่มาจากพืช อย่างไรก็ตาม รายงานผลการศึกษาซึ่งเสนออยู่ในวารสาร “โภชนาการ” ได้เตือนว่า ไม่ควรดื่มเหล้า ที่มีข่าวว่าช่วยส่งเสริมสติปัญญาได้ และอาจจะมีสรรพคุณลดโอกาสของการเป็นโรคสมองเสื่อม ในช่วงเทศกาลวันหยุดส่งท้ายปีเก่าขึ้นปีใหม่หนักข้อไปนัก เพราะการดื่มมากเกินไปอาจให้โทษ เป็นสาเหตุของโรคสมองเสื่อมเสียเองหนึ่งในหลายสาเหตุได้ ทั้งยังก่อปัญหาสุขภาพอื่นๆ อีกมากมายด้วย
วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552
เห็ดฟางอาหารสวรรค์ ของคนความดันสูง
วันพุธที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2552
กินดีกว่าดื่ม
ในงานวิจัยครั้งหนึ่ง นักวิจัยขอให้คน 15 คน ดื่มเพิ่มขึ้นอีก 450 แคลอรี่ต่อวัน (ประมาณยินโทนิกสองแก้ว) พวกเขาจะน้ำหนักขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพวกเขาบริโภคแคลอรี่ในประมาณเท่ากันจากอาหาร พวกเขากลับน้ำหนักไม่ขึ้น นั่นเพระพวกเขาจะชดเชยการกินที่เพิ่มด้วยการกินน้อยลงตลอดทั้งวัน แต่ถ้าพวกเขาจะไม่ชดเชยแบบเดียวกันถ้าดื่มเพิ่มขึ้น จึงได้แคลอรี่เพิ่มมาแบบเต็มๆ
วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2552
ไร้พุงด้วยการยกน้ำหนัก
วันจันทร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552
ลดระดับโคเลสเตอรอลด้วยอาหาร
หลักการบริโภคอาหารที่สำคัญเพื่อป้องกันและลดระดับโคเลสเตอรอลสูงในเลือด
รับประทานโคเลสเตอรอลไม่เกินวันละ 300 มิลลิกรัม โคเลสเตอรอลมีเฉพาะในอาหารที่มาจากสัตว์เท่านั้นมีมากในอาหารบางชนิด เช่น ไข่แดง เครื่องในสัตว์ มันสัตว์ สัตว์น้ำบางชนิด จึงควรหลีกเลี่ยงรับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณมาก
รับประทานอาหารในแต่ละวันซึ่งให้พลังงานรวมแล้วเพียงพอต่อการรักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยผู้ใหญ่ควรมีดัชนีความหนาของร่างกายประมาณ 20.0-24.9 กิโลกรัม/ตารางเมตร โดยคำนวณจากน้ำหนักตัวหน่วยเป็นกิโลกรัม หารด้วยส่วนสูง หน่วยเป็นเมตร ยกกำลังสอง เช่น ถ้าใครมีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม ส่วนสูง 1.5 เมตร จะได้ดัชนีความหนาของร่างกาย = 50/(1.5) 2 = 22.2 กิโลกรัมต่อตารางเมตร แสดงว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
หลีกเลี่ยงรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น กะทิ ไขมันจากสัตว์ หนังสัตว์ เนื้อสัตว์ที่มีมันติดมาก ๆ เช่น หมูสามชั้น เพราะกรดไขมันอิ่มตัวส่วนใหญ่ ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดสูงขึ้น
รับประทานอาหารที่มีกรดไขมันไลโนเลอิก (linoleic acid) โดยสม่ำเสมอ ซึ่งพบได้ประมาณร้อยละ 50 ในน้ำมันพืชบางชนิด เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าท่านมีโคเลสเตอรอลสูงในเลือดจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น กรรมพันธุ์ โรคบางชนิด ท่านต้องรับประทานยาลดโคเลสเตอรอล และรักษาโรคต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุให้มีโคเลสเตอรอลสูงในเลือดควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารให้ถูกต้อง โภชนบำบัดจะช่วยเสริมผลการรักษาให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และลดปริมาณการรับประทานยาลงได้
วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2552
สเต็กสูตรปลอดโรคมะเร็ง ต้องหมักเนื้อกับเบียร์ หรือเหล้าไวน์ก่อน
ปกติเนื้อที่ทอดหรือปิ้งย่าง จะเกิดสาร ประกอบเฮอเทอโรไซคลิคซึ่งก่อมะเร็ง เกิดขึ้นเป็นปริมาณสูง
นักวิจัยของมหาวิทยาลัยปอร์โตแห่งสเปน ได้รายงานผลการค้นพบในวารสาร “เคมีเกษตรและอาหาร” ว่า หากเอาเนื้อไปหมักกับเหล้าเสียก่อนหน้า นานสัก 6 ชม. จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดสารนั้นได้ถึงร้อยละ 90 ถ้าหากหมักกับเบียร์อย่างเดียว นานแค่ 4 ชม. ก็พอ
นักวิจัยเชื่อว่าน้ำตาลที่อมน้ำอยู่ในเบียร์และเหล้าไวน์ อาจจะเป็นตัวการ โดยมันอาจจะป้องกันไม่ให้โมเลกุลที่ละลายน้ำได้ในเนื้อ โผล่ออกมาที่ผิวพื้น ซึ่งเมื่อโดนความร้อนสูง มันจะกลายเป็น สารประกอบเฮอเทอโรไซคลิคได้
พวกเขายังได้บอกว่า ผู้ที่เคยลองชิมสเต็กสูตรนี้ต่างติดใจในกลิ่น รสชาติ และหน้าตาของมันไปตามๆกัน
วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552
5 เคล็ดลับกินผักผลไม้ให้มากขึ้น
วันนี้เรามีเคล็ดลับดีๆ ที่จะทำให้รับประทานผักผลไม้ได้มากขึ้นค่ะ
กินผลไม้หลังอาหารมื้อเช้าทุกวัน ฝึกรับประทานผลไม้หลังอาหารมือเช้าให้เป็นนิสัย เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์จากสารอาหารแล้ว ยังช่วยเติมความสดชื่นสดใสได้ตลอดวันค่ะ
ใส่ผักผลไม้ลงไปในส่วนผสมหนึ่งของอาหาร อาหารหลายชนิดสามารถใส่ผักหรือ ผลไม้หลายอย่าง ลองดัดแปลงทำดู ก็จะได้อาหารจานอร่อยที่มีคุณค่าอาหารสูง
ลองผักผลไม้ใหม่ๆ ลองรับประทานผักและผลไม้ชนิดใหม่ที่ไม่เคยรับประทานมาก่อน รสชาติที่แปลกใหม่จะช่วยให้อยากรับประทานและมีตัวเลือกมากขึ้น
กินสแน็คผลไม้ สแน็คผัก ผลไม้ ไทยๆ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้เราได้รับคุณค่าจากผัก ผลไม้มากขึ้น ที่สำคัญ ไม่ทำให้อ้วนด้วยนะคะ
เมื่อรู้กันอย่างนี้แล้ว สาว ๆ ก็หันมากินผักเยอะ ๆ นะคะ จะได้มีร่างกายที่แข็งแรง...