วันศุกร์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ตรวจเต้านมด้วยตัวเองกันเถอะ!

มะเร็งเต้านม โรคร้ายที่ทำให้ผู้หญิงเสียชีวิตเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย และมักคืบคลานสู่ผู้หญิงส่วนใหญ่อย่างไม่รู้ตัว หากไม่รู้จักป้องกันเสียแต่วันนี้ พรุ่งนี้อาจสายไป

แอน ทองประสม ดาราสาวสวยเจ้าบทบาท เป็นหนึ่งในแอมบาสซาเดอร์ โครงการมะเร็งเต้านม ศูนย์สิริกิติ์บรมราชินีนาถ กล่าวเตือน สาว ๆ ว่า ขอให้ผู้หญิงทุกคนหันมาใส่ใจตรวจสุขภาพตัวเองปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากค่าใช้จ่ายไม่ได้สูงอย่างที่คิด หรือใครจะตรวจหน้าอกเบื้องต้นด้วยตัวเอง ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ เพื่อการรักษาได้ทันท่วงที ขอให้ทุกคนคำนึงถึงสุขภาพมากกว่าเงิน เพราะ การไม่มีโรค ถือเป็นลาภอันประเสริฐ

วันนี้จึงขอนำวิธีตรวจเต้านมแบบถูกวิธีด้วยตนเองมาบอก

ผู้หญิงที่อายุ 20 ปี ขึ้นไป สามารถตรวจได้ และเวลาที่เหมาะสมคือ เดือนละ 1 ครั้ง หลังหมดประจำเดือน 7 วัน ดังนี้

ขั้นที่ 1 ตรวจขณะอาบน้ำ
เพราะเป็นระยะเวลาที่ผิวหนังเปียกและลื่น จึงทำให้การตรวจง่ายขึ้น ทำโดยใช้ปลายนี้วมือวางราบบนเต้านม คลำและเคลื่อนนิ้วมือ ในลักษณะคลึง เบาๆ ให้ทั่วทุกส่วนของเต้านม เพื่อค้นหาก้อนหรือ เนื้อที่แข็งเป็นไตผิดปกติ

ขั้นที่ 2 ตรวจหน้ากระจก ทำได้ 2 วิธี
ยืนตรงมือแนบลำตัว แล้วยกแขนขึ้นสูงเหนือศีรษะ สังเกตลักษณะของเต้านมเพราะการเคลื่อนยกแขนขึ้นนั้น จะสามารถมองเห็นความผิดปกติ ยกมือท้าวเอว เอามือกดสะโพกแรง ๆ เพื่อให้เกิด การเกร็งและหดตัวของกล้ามเนื้ออก สังเกตดูลักษณะ ที่ผิด

ขั้นที่ 3 ตรวจในท่านอน
นอนราบและยกมือข้างหนึ่งไว้ใต้ศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่ง ตรวจคลำให้ทั่วทุกส่วน ของเต้านม โดยเริ่มต้นที่จุดบริเวณส่วนนอกเหนือสุดของเต้านม เวียนไปโดยรอบเต้านม แล้วเคลื่อนมือเขยิบเข้ามาเป็นวงแคบเข้าจนถึง บริเวณหัวนม จากนั้น ค่อย ๆ บีบหัวนมโดยใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ เพื่อสังเกตดูว่ามี น้ำเลือดน้ำหนอง หรือน้ำใส ๆ อื่นใด ออกมาหรือไม่ เสร็จแล้วตรวจเต้านมอีกข้างหนึ่ง ในลักษณะเดียวกัน

วิธีเหล่านี้ ทำได้ง่าย ๆ แต่ได้ผลดี ควรนำไปปฏิบัติและบอกต่อ เพื่อให้ผู้หญิงไทยห่างไกลจากโรคมะเร็ง.

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ผมสลวยด้วยอาหารดี

อาหารที่ดีนอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรง ยังมีผลดีต่อเส้นผมนุ่มสลวยสวยเก๋ของคุณด้วย เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว โดยทั่วไปคุณค่าอาหารล้วนมีประโยชน์ต่อเส้นผมทั้งนั้น แต่สารอาหารต่อไปนี้ถือว่ามีผลโดยตรงต่อสุขภาพผมของคุณ

น้ำ จำเป็นทั้งสำหรับผิวและผม น้ำเป็นส่วนประกอบ 1 ใน 4 ของน้ำหนักของผม ความชุ่มชื้นจะทำให้ผมมีสุขภาพดี แต่ต้องมั่นใจว่าดื่มน้ำบริสุทธิ์ด้วยนะ

ธาตุเหล็ก จำเป็นสำหรับการนำออกซิเจนมาสู่เส้นผม หากได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอ ผมก็จะขาดออกซิเจนไปด้วย กินถั่วต่างๆให้หลากหลายจะได้รับธาตุเหล็กเพียงพอสังกะสี จำเป็นสำหรับการสร้างโปรตีนให้ผม และป้องกันผมร่วงได้ด้วย อาหารทะเลเป็นแหล่งที่มีสังกะสีอยู่มากทีเดียว

ทองแดง เกี่ยวข้องกับสีของผมค่ะ ช่วยให้ผมดกดำ ไม่หงอกเร็วก่อนวัย ทองแดงมีมากในอาหารทะเล ผักสด ถั่ว ฯลฯ

วิตามินเอ สำคัญมากสำหรับสุขภาพหนังศีรษะและสุขภาพผิวด้วย คนรักสวยรักงามขาดไม่ได้

โปรตีน ช่วยปกป้องเส้นผม อยากมีสุขภาพผมดีต้องไม่ขาดโปรตีน

วิตามินบีและวิตามินซี สำคัญมากสำหรับวงจรการสร้างเส้นผม ช่วยให้ผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่าย แถมยังมีผลต่อการเติบโตและสีของผมด้วย

แทนที่จะสนใจเฉพาะสารอาหารเหล่านี้ คุณควรรับประทานอาหารให้ครบถ้วนทุกหมวดหมู่อย่างเหมาะสม คุณก็จะได้เป็นเจ้าของผมสวยและสุขภาพดี อย่าลืมรักษาความสะอาดของเส้นผมและออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้เลือดหมุนเวียนได้ดี มีผลต่อสุขภาพผมด้วยเช่นกัน

วิธีลดแคลอรี่ส่วนเกิน

วิธีลดแคลอรี่ส่วนเกิน (เดลินิวส์)

ใครที่อยากลดแคลอรี่ในร่างกาย วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีวิธีมาบอก...กับวิธีต่อไปนี้จะทำให้สามารถลดปริมาณแคลอรี่ไปได้ตั้งเกือบๆ 100 แคลอรี่

1. เวลาจะเจียวไข่ให้ใส่ผักสด เช่น หัวหอม มะเขือเทศ เห็ดสดลงไปด้วย และใช้วิธีทอดด้วยน้ำแทนจะทำให้อิ่มท้องเร็วขึ้น และน้ำมันที่ตัดออกไปก็คือการกำจัดไขมันที่จะเข้าสู่ร่างกายโดยตรง

2. เปลี่ยนจากทานข้าวขาวมาทานข้าวกล้อง และเปลี่ยนจากขนมปังขาวธรรมดามาทานขนมปังโฮลวีตแทน เส้นใยในข้าวกล้องและขนมปังโฮลวีตจะช่วยเรื่องขับถ่าย ทำให้น้ำหนักลดลงได้

3. เลิกทานขนมปังพร้อมเนย จะช่วยกำจัดปริมาณแคลอรี่ได้ถึง 75 กิโลแคลอรี่ ต่อขนมปัง 1 แผ่น

4. ทานข้าวน้อยลง 1 ทัพพีสามารถลดได้ 80 แคลอรี่ ทำทั้ง 3 มื้อกำจัดไป 240 แคลอรี่

5. เปลี่ยนขนาดแก้วที่ใส่น้ำผลไม้ให้เล็กลง หรือถ้าดื่มจากกล่องก็ลดขนาดจากกล่อง 250 ซีซี มาเป็น 200 ซีซี แทน

6. เวลาจะเติมน้ำตาลในชาหรือกาแฟ ให้เปลี่ยนมาใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาลสามารถลดได้ 32 แคลอรี่

7. ใช้นมพร่องมันเนย แทนครีมเทียม

8. เวลาทานสลัดผัก ลดปริมาณน้ำสลัดลง 1 ช้อนโต๊ะ จะลดแคลอรี่ได้ 60 แคลอรี่ ถ้าลดปริมาณน้ำสลัดแบบน้ำใสลง 1 ช้อนโต๊ะ จะกำจัดไปได้อีก 45 แคลอรี่

9. ทานอาหารเช้าที่ให้พลังงานต่ำ เช่น แกงจืดผักใส่เต้าหู้หรือผัดผักใส่เนื้อสัตว์ไม่ติดมันและอาหารใน 1 มื้ออนุญาตให้มีอาหารประเภททอดหรือผัดได้เพียง 1 อย่างเท่านั้น

10. ถ้าใส่น้ำตาลเพียงครึ่งซอง หรือลดปริมาณน้ำตาลจาก 2 ช้อนชา (2 ก้อน) เป็น 1 ช้อนชา (1 ก้อน) จะลดได้ 15 แคลอรี่

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากให้แคลอรี่เกินมาตรฐาน ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้

วันอาทิตย์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

กินแมงลักหุ่นดี ขับถ่ายคล่อง

แมงลัก เป็นพืชล้มลุกในสกุลกะเพรา-โหระพา ลักษณะของต้นแมงลักจะคล้ายต้นกะเพรา ต่างกันที่กลิ่น และใบจะ มีสีเขียวอ่อนกว่า แมงลักมีชื่อเรียกตาม ท้องถิ่นว่า มังลัก (ภาคกลาง) ก้อมก้อขาว (ภาคเหนือ) ลำต้นสูงประมาณ 65 เซนติ เมตร มีกลิ่นหอมทุกส่วน ใบเป็นใบเดี่ยว รูปร่างรี ขอบใบเรียบหรือหยักมน ดอกออกช่ออยู่ปลายยอด กลีบดอกมีสีขาวและร่วงง่าย ดอกจะออกรอบก้าน ช่อดอกจะออกเรียงเป็นชั้นๆ ผลเป็นผลชนิดแห้ง ภายในมี 4 ผลย่อย เรียกว่า เม็ดแมงลัก


แมงลักนำไปใช้ได้ทั้งใบและเมล็ด ใบมีกลิ่นฉุน ใช้ประกอบอาหารเช่นเดียว กับกะเพราและโหระพา ส่วนมากจะใช้รับประทานกับขนมจีน หรือใส่เครื่องแกง ต่างๆ แต่ที่ขาดไม่ได้คือ แกงเลียง ถ้าไม่มีใบแมงลักจะไม่มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของแกงเลียงตามสูตรโบราณ ส่วนเมล็ดแมงลักใช้ทำเป็นขนมอื่นๆ ได้


เมล็ดแมงลักนำมาทำเป็นยาระบายและอาหารเสริมลดความอ้วนได้ โดยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์พบว่า เม็ดแมงลักประกอบด้วยสารคาร์โบไฮเดรตหลายชนิด ซึ่งเป็นโมเลกุลใหญ่ และสารประกอบอื่นๆ บริเวณเปลือกนอกของเม็ดเป็นสารเมือก ซึ่งสามารถพองตัวได้ 45 เท่า และได้ มีการวิจัยพบว่าเม็ดแมงลักมีสรรพคุณเป็น ยาระบาย เพิ่มกากอาหารได้ และเมือกยังสามารถช่วยหล่อลื่นให้อุจจาระอ่อนตัว สามารถขับถ่ายได้สะดวกยิ่งขึ้น


หลายคนได้นำเม็ดแมงลักมารับประทานก่อนอาหาร หรือบางคนก็รับประทาน แทนอาหาร เพื่อไม่ให้กระเพาะอาหารว่าง จึงสามารถใช้ลดความอ้วนได้ เพราะเม็ดแมงลักไม่ก่อให้เกิดพลังงาน นอกจากนี้ ใบแมงลัก ยังประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยประเภทการบูร, เบอร์นีอัล, ซีนีออล และยูจีนอล จึงมีสรรพคุณขับลม ลดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ และมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อราที่ทำให้เกิดโรคกลากและเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้


สำหรับวิธีเตรียมยา ถ้ามีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ ให้นำใบสดมาล้างให้สะอาดแล้วรับประทานได้เลย ส่วนโรคกลาก ให้นำใบสด ประมาณ 10 ใบมาล้างให้สะอาด ตำผสมน้ำเล็กน้อย นำไปทาบริเวณที่เป็นวันละ 1 ครั้ง ประมาณ 1-2 สัปดาห์ก็จะดีขึ้น ให้ทาจนกว่าจะหาย


วิธีรับประทานเม็ดแมงลักลดความอ้วน ใช้เม็ดแมงลัก 1-2 ช้อนชาแช่น้ำ 1 แก้วใหญ่ ทิ้งไว้จนกว่าจะพองเต็มที่ ถ้าใช้เป็นยาระบายให้ทานก่อนนอน ถ้าเป็นยาลดความอ้วนให้ทานก่อนอาหารหรือ ทดแทนอาหารเป็นบางมื้อ เพราะอาจเป็นโรคขาดสารอาหารได้



แต่ข้อเสียการรับประทานเม็ดแมงลักในปริมาณมากๆ อาจทำให้เกิดอาการแน่นท้อง หรือถ้ารับประทานในขณะที่เม็ดแมงลักยังไม่พองเต็มที่ ก็จะมีการดูดน้ำจาก กระเพาะอาหารได้ ทำให้เม็ดแมงลักจับตัวเป็นก้อนแข็งและอุดตันลำไส้ ทำให้ท้องผูกได้มากขึ้น



การปลูกแมงลักปลูกง่าย โดยวิธีเพาะเมล็ด แมงลักขึ้นได้ดีกับดินทุกประเภท ชอบแสงแดดจัด กลางแจ้ง โตเต็มที่สูง ไม่เกิน 3 ฟุต เมื่อเพาะต้นอ่อนที่อายุ 3 สัปดาห์ ควรแยกให้แต่ละต้นอยู่ห่างกัน 20 เซ็นติเมตร หรืออาจใช้กิ่งก้านที่เหลือจากเด็ดใบใช้ไปแล้วมาปักชำ



เพื่อระบบขับถ่ายที่ดีอย่าลืมรับประทานแมงลักเป็นประจำ เพราะแมงลักนอกจากจะช่วยในระบบขับถ่ายแล้วยังสามารถใช้ลดน้ำหนักได้ดีอีกด้วย เพียงแค่นี้เราก็จะมีสุขภาพที่ดีควบคู่ไปกับรูปร่างที่สวยงามเพิ่มความมั่นใจในการทำงานและการดำเนินชีวิตในสังคมอย่างมีความสุข

วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

แก้ปัญหาผมบางด้วยอาหาร

แก้ปัญหาผมบางด้วยอาหาร (ชีวจิต)

เมื่อวัยร่วงโรยผมก็ร่วงตามที่เคยดกดำบ้าง ก็เปลี่ยนเป็นสีขาว บ้างก็อำลาหนังศีรษะตลอดกาล เอาแต่โอดโอยอาวรณ์ ผมก็ไม่กลับมา ทิ้งให้หนังศีรษะต้องโดดเดี่ยวเอกา แต่มีหรือที่คนรักสุขภาพอย่างเราจะนิ่งดูดาย มาหาของกินเรียกผมคืนกันดีกว่าค่ะ ของกินที่ว่าได้แก่

กินเมล็ดฟักทอง ถั่วต่างๆ ที่เป็นแหล่งรวมของสังกะสี

แตงกวา และข้าวโอ๊ต เพื่อให้ได้รับซิลิกาอย่างเพียงพอ

สาหร่ายทะเลแห้ง เต้าหู้ พาสลี่ งา และเมล็ดทานตะวันเพื่อให้ได้ธาตุเหล็ก

ปลา แหล่งรวมโปรตีน และกรดโอเมก้า 3

ข้าวกล้อง และธัญพืช เสริมวิตามิน บี

ผักใบเขียวเพื่อให้ได้โฟลิกแอซิด

ขอบอกไว้ก่อนนะคะคุณลุงคุณป้า แม้จะกินจนได้สารอาหารเหล่านี้มากมายเพียงพอแล้ว ก็ใช่จะทำให้ผมสลวยสวยเก๋เหมือนเดิมได้ ต้องทำใจรับเงื่อนไขของสังขารด้วย เราแค่มากินชะลอวัยกันเท่านั้นค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย

7 เหตุผล ที่ควรหลีกเลี่ยงน้ำตาลทราย (ชีวจิต)
แม้น้ำตาลจะให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่ก็มีผลเสียต่อสุขภาพเป็นของแถมตามมาอีกหลายโรค ลองดูเหตุผลต่อไปนี้ก่อนกินน้ำตาลคราวต่อไปค่ะ

1. เมื่อเรากินน้ำตาลมากเกินไป โดยเฉพาะน้ำตาลเชิงเดี่ยว (น้ำตาลทราย น้ำผึ้ง น้ำตาลในผลไม้ น้ำตาลในนม) น้ำตาลจะเข้าสู่กระแสเลือดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรดมากเกินไป ร่างกายเกิดภาวะไม่สมดุล จึงมีการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆภายในร่างกายมาแก้ไขความไม่สมดุล

2. ทำให้เกิดไขมันสะสม น้ำตาลจะถูกเก็บไว้ที่ตับในรูปของไกลโคเจน แต่ถ้ามีมากจนเกินไป ตับก็จะส่งไปยังกระแสเลือดและเปลี่ยนเป็นกรดไขมัน โดยจะสะสมไว้ในส่วนของร่างกายที่มีการเคลื่อนไหวน้อย เช่น สะโพก ก้น ขาอ่อน หน้าท้อง

3. หากยังคงรับประทานน้ำตาลอย่างต่อเนื่อง กรดไขมันจะสะสมไว้ที่อวัยวะภายในอื่นๆ เช่นหัวใจ ตับ และไต ดังนั้นอวัยวะเหล่านี้จะค่อยๆถูกห่อหุ้มด้วยไขมัน และน้ำเมือก ร่างกายจะเริ่มผิดปกติ ความดันเลือดจะสูงขึ้น

4. การรับประทานน้ำตาลมากเกินไป มีผลต่อการทำงานของสมอง ทำให้รู้สึกง่วงเหงาหาวนอน

5. อาการปวดศีรษะเรื้อรัง เป็นตะคริวเวลามีรอบเดือน เป็นสิว ผื่น แผลพุพอง ตกกระ แผลริดสีดวงทวารหนัก ไมเกรน เบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ มะเร็งตับ สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กับการรับประทานน้ำตาลมากเกินไป

6. น้ำตาลทำให้อาการของโรคติดเชื้อที่เป็นอยู่ทวีความรุนแรงขึ้น เพราะ "เชื้อโรคทุกชนิดใช้น้ำตาลเป็นอาหาร"

7. น้ำตาลนอกจากจะมีผลต่อผู้ใหญ่แล้วยังมีผลต่อเด็กอีกด้วย เพราะถ้าหากเด็กกินน้ำตาลในปริมาณที่มากจนเกินไป จะทำให้เด็กเป็นโรคกระดูกเปราะและฟันผุได้ และอาจเป็นคนโกรธง่าย ไม่มีสมาธิในสิ่งที่ทำอยู่

วันศุกร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

สวยด้วยการกิน

สวยด้วยการกิน (From First Magazine)

"กินอะไรทำไมสวยจัง" เรามักได้ยินประโยคเด็ดเช่นนี้อยู่เป็นประจำ หลายคนจึงสงสัยว่า "สวยด้วยการกิน" ได้ด้วยหรือ

อาหารผิวดี

- สับปะรดและส้ม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงให้ผิวพรรณสดใสดูอ่อนกว่าวัย

- มะนาว อุดมด้วยวิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อผิว และยังช่วยทำความสะอาดตับ

- มะเขือเทศ มีทั้งวิตามินซีและlycopene ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระและป้องกันผิวเสียจากรังสียูวี

- แครอท มีเบต้าแคโรทีนมาก ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ซึ่งเป็นวิตามินที่จำเป็นสำหรับผิว

- กีวี, อะโวคาโด และน้ำมันมะกอก ประกอบไปด้วยวิตามินซี เป็นประโยชน์ต่อการสร้างและยืดอายุคอลลาเจนใต้ผิวเรา

- ผักโขม อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งอมชมพู

- โยเกิร์ต ช่วยในการขับถ่ายของเสียทำให้ผิวพรรณสดใส

- ปลา อุดมไขมัน น้ำมันปลาทำให้ผิวพรรณเต่งตึง

อาหารผมสวย

- ไข่ เต็มไปด้วยโปรตีนซึ่งจะทำให้ผมเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง

- ปลาที่มีกรดไขมัน (โอเมก้า) เช่น ปลาแซลมอน ทูน่า ควรรับประทาน 2 มื้อต่อสัปดาห์

- อะโวคาโด มีวิตามินบี 5 เยอะ ช่วยชะลอการเกิดผมหงอก

อาหารตาใส

- ผักโขม, ถั่ว และ ข้าวโพด มีสารLutein ซึ่งทำหน้าที่ต้านอนุมูลอิสระ และป้องกันโรคที่เกิดกับตา ป้องกันการทำลายเรติน่าจากรังสียู

- แครอท, ตำลึง และผักบุ้ง มีเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนสภาพกลายเป็นวิตามินเอ ช่วยในการมอง ซึ่งส่งผลให้เราไม่ต้องเพ่งหรือเกร็งตามากๆ จึงทำให้โอกาสเกิด "ตีนกา" น้อยลง

อาหารฟันแข็งแรง

- นม, ปลา และน้ำซุปที่ตุ๋นจากซี่โครงสัตว์ (ไก่และหมู) มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสซึ่งทำให้ฟันแข็งแรง แถมนมยังปกป้องฟันจากแบคทีเรียได้อีกต่างหาก

- เนยแข็ง จะเพิ่มปริมาณน้ำลายในปากควรกินหลังอาหารจะทำให้กรดในปากเจือจางลง ป้องกันฟันผุ

- และที่ขาดไม่ได้ก็คือการดื่มน้ำให้เพียงพอต่อร่างกายของเรา น้ำมีความสำคัญมากเพราะน้ำจะไปเพิ่มเติมความชุ่มชื้นในส่วนต่างๆ ของร่างกาย

วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ระวังหากเป็นหวัดควรหลีกเลี่ยงการขับรถ

การเป็นหวัดไม่ว่าหวัดสามัญหรือโรคไข้หวัดใหญ่ อย่างหนัก จะรบกวนปฏิกิริยาตอบสนองเวลาขับรถอย่างหนักบริษัทประกันภัยลอยด์ส ทีเอสบี ของอังกฤษเปิดเผยว่า
ในการศึกษาด้วยเครื่องจำลองการขับรถ กับผู้ขับรถที่ป่วยด้วยอาการต่าง ๆ ตั้งแต่เป็นหวัด มีอาการเครียดและปวดศีรษะ 100 คน พบว่า คนที่เป็นหวัดจะขับรถได้เลวลงโดยเฉลี่ยแล้วร้อยละ 11 เทียบได้กับผู้ที่ล่อวิสกี้เข้าไปสองแก้ว
การขับรถเลวลงไปร้อยละ 11 จะมีผลทำให้อาการตอบสนองช้าลง เทียบเท่ากับต้องใช้ระยะทางเพิ่มขึ้นอีก 1 เมตร หากขับอยู่ด้วยความเร็ว 48 กม.ต่อชั่วโมง และหากใช้อัตราความเร็วปกติเต็มที่ จะต้องใช้ระยะทางเพิ่มอีกถึง 12 ม.
รายงานได้บอกเตือนว่า อาการไม่สบายขณะขับรถ ยิ่งหากบวกด้วยฤทธิ์ยา หรือความเมื่อยล้า หรือหากดื่มมาเล็กน้อยด้วย จะมีผลกับความสามารถในการขับขี่อย่างสำคัญ นายแพทย์ดอว์น ฮาร์เปอร์ ได้เสริมว่า ในการขับรถอย่างปลอดภัย ต้องใช้สมาธิและปฏิกิริยาตอบสนองที่ทันกาล แค่เพียงเป็นหวัดเพียงนิดหน่อยก็ทำให้ความสามารถทั้งสองอย่างเสียลงมากแล้ว

โฆษกของบริษัทแจ้งว่า "การขับรถยามที่ไม่สบาย ก่อให้เกิดอุบัติเหตุปีละหลายพันครั้ง หากว่าเป็นหวัดไม่ว่าจะเป็นหวัดธรรมดาหรือไข้หวัดใหญ่ ถ้าหากหลีกเลี่ยงการขับรถ ได้ควรจะหลีกเลี่ยงเสีย"

วันจันทร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ทริคชะลอความแก่ง่าย ๆ

ใคร ๆ ก็ไม่อยากแก่ โดยเฉพาะผู้หญิง เมื่ออายุขึ้นเลข 3 ก็แทบจะร้องหาตัวช่วยชะลอความแก่กันยกใหญ่ แต่จะทำอย่างไร ในเมื่อไม่สามารถหยุดเวลาได้ นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช และ แพทย์หญิง ณัฐินี สุทธินรเศรษฐ์ มีวิธีสูงวัยอย่างสง่างามมาบอก

ท่องจำไว้ หลักต้านชราง่าย ๆ มีอยู่ 3 H

อันแรก Healthy Weight ลองสังเกตคนที่มีน้ำหนักมากเกินมาตรฐาน จะค่อนข้างดูแก่กว่าคนทั่วไป ฉะนั้น คุมน้ำหนักให้ดีถ้ากลัวแก่ เจ้าอาหารตัวร้ายที่ต้องระวังก่อนหยิบเข้าปาก คือแป้งและข้าวขัดสี จำพวก ข้าวสวยและขนมปัง

ต่อมา Healthy Diet & Lifestyle ปรับการดำเนินชีวิตให้ดี ให้เหมาะสม เช่น เป็นไปได้อย่านอนดึก ดื่มแอลกอฮอล์สังสรรค์จนลืมตายทุกวันหยุด หรือถ้ากลัวกระดูกพรุนตอนแก่ รับประทานผักให้มากที่สุด ควบคู่กับการออกกำลังกาย ถ้าใครยังอ้างว่าไม่มีเวลา แค่ขยับแข้งขยับขานิดหน่อยตอนดูละครก็ช่วยได้

ท้ายสุดแสนสำคัญ Healthy Mind ออกกำลังกายเสร็จแล้ว อย่าลืมออกกำลังใจด้วย อยู่กับปัจจุบัน ทำวันนี้ให้ดีที่สุด อย่ายึดติดอดีต กังวลกับอนาคต ยิ้มรับกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น รับรองว่าความแก่ไม่กล้ามาเยือน ถ้าวิธีที่กล่าวมา ยากเกินกว่าจะทำได้

เทคโนโลยีเป็นอีกตัวช่วย ไม่ว่าจะเป็นครีมบำรุงผิว การรับประทานอาหารเสริม จนถึงนำเครื่องมือทางการแพทย์มาช่วย ได้แก่ การยิงเลเซอร์ทำลายกระ ฝ้า ที่ปัจจุบันไม่น่ากลัวเหมือนเมื่อก่อนเพราะผลข้างเคียงน้อยลง หรือการใช้สารเคมีฉีดโบท๊อกซ์หน้าตึงที่หลายคนฮิต แต่ต้องทราบก่อนว่าคือการฉีดสารโปรตีนชนิดหนึ่งเข้าไปในผิว คุณสมบัติช่วยคลายกล้ามเนื้อ ทำให้ริ้วรอยลดลง จึงต้องทำบ่อย ๆ เพราะไม่ได้เป็นวิธีเพิ่มคุณภาพให้ผิวเหมือนกับการกระตุ้นการสร้างหรือยับยั้งการทำลายฮอร์โมนหนุ่มสาวที่อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

แต่อย่างไรก็ตาม จะเห็นว่าสร้างสมดุลของร่างกายจากภายในสู่ภายนอก เป็นวิธีที่ดีที่สุด อย่างที่ยาขนานไหน หรือการผ่าตัดสมัยใหม่อย่างไรก็สู้ไม่ได้ เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ ก่อนที่จะสายเกินไป อย่าลืมว่า

ความแก่มาเยือนเร็วกว่าที่คิด

วันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

ความหวังใหม่ วัคซีนป้องกันโรคมะเร็ง ช่วยลดผู้ป่วยมะเร็ง1 ใน 5

หากว่านักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเซาธ์ ออสเตรเลีย ทำการวิจัยได้สำเร็จจะสามารถช่วยป้องกันมนุษย์ จากโรคมะเร็งร้ายไว้ได้มาก

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.จอห์น เฮย์บอลล์ กับคณะ กำลังศึกษาค้นคว้า สร้างวัคซีนเพื่อป้องกันโรคมะเร็งพวกที่เกิดจากไวรัส อย่างเช่น โรคเอดส์ โรคไวรัสตับอักเสบชนิด บี และโรคจากเชื้อไวรัสหูด ไวรัสนี้เป็นตัวการก่อให้ เกิดโรคมะเร็งถึงร้อยละ 20 "ถ้าหากเราสามารถป้องกันไม่ให้ติดเชื้อนี้ได้ ก็จะมีทางที่จะลดจำนวนผู้ป่วยโรคมะเร็งลงได้ถึง 1 ใน 5 นับเป็นความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว"

หมอจอห์นกล่าวต่อไปว่า "เราหวังว่าจะพัฒนาเทคโนโลยีหลัก เพื่อก่อรูปของวัคซีนซึ่งไม่แต่เพียงเพื่อป้องกันเท่านั้น หากยังรักษาโรคเรื้อรังต่างๆ อันเกิดจากไวรัส หลังจากที่มันได้ยึดที่มั่นอยู่ในตัวคนได้ แล้วด้วย"